TOP โชว์งบ Q3 พลิกกำไร 2.1 พันล้านบาท รับ “สต๊อกเกน” โตตามราคาน้ำมัน

TOP เปิดผลประกอบการไตรมาส 3/68 พลิกมีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท จากขาดทุน 4,218 ล้านบาทปีก่อน รับอานิสงส์กำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท และกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ หนุน EBITDA เพิ่มขึ้นกว่า 8,000 ล้านบาท


บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยในไตรมาส 3/2568 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตลดลง และมีรายได้จากการขายลดลง 29,969 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) รวมถึงราคาขายผลิตภัณฑ์หลายรายการปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบ

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในช่วงไตรมาสดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,380 ล้านบาทในไตรมาส 3/2567 ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน) เพิ่มขึ้น 7.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 8,165 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ ยังมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่มขึ้นอีก 1,372 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการรวมของกลุ่มไทยออยล์ในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานจากทั้งปัจจัยภายนอกและการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ

นายบัณทิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า ผลประกอบการบริษัทฯ ไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 80,049 ล้านบาท ลดลง 19,037 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า  เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) สำหรับหน่วยกลั่นน้ำมันที่ 3 และหน่วยอื่นๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ส่งผลให้กำลังการผลิตลดลง และราคาขายผลิตภัณฑ์บางส่วนที่อ่อนตัว แต่ยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับขึ้นตามภาวะอุปทานตึงตัวจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอลรวมถึงสหรัฐและสหภาพยุโรปมีมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่กับรัสเซียส่งผลให้ไทยออยล์มีกําไรจากสต็อกนํ้ามัน

ในช่วงดังกล่าวกลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 5.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจาก 7.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นปรับลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นทำให้ไทยออยล์รับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท หรือ 2.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นรวมผลกระทบจากสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2 ปี 2568

อีกปัจจัยสำคัญที่หนุนผลประกอบการ คือ กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงิน 1,372 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ส่งผลให้ EBITDA ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 3,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,619 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน ฉะนั้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ไทยออยล์พลิกจากการขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2567 กลับมามีกำไรได้ในไตรมาส 3 ปี 2568

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 12,126 ล้านบาท คิดเป็น กําไรสุทธิ 5.43 บาทต่อหุ้น โดยกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4,934 ล้านบาทจากปีก่อน แม้อัตรากำลังการกลั่นลดลงเพราะหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ แต่ได้แรงหนุนจากกำไรพิเศษจากบริษัทร่วม PT Chandra Asri Petrochemical (CAP) ที่มีกำไรจากการเข้าซื้อกิจการในสิงคโปร์จํานวน 7,044 ล้านบาท และกําไรจากการซื้อหุ้นกู้คืนจํานวน 4,067 ล้านบาท หลังจากไทยออยล์ได้ไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 633 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,894 ล้านบาท ตามแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทไทยออยล์อนุมัติโครงการ Asset Monetization เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านรูปแบบการให้เช่าและเช่ากลับ (Lease & Leaseback) ของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถังเก็บน้ำมัน ทุ่นผูกเรือกลางทะเลและสถานีจ่ายน้ำมันทางรถซึ่งช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะยาว

สำหรับภาพรวมของไตรมาส 4 ปี 2568 ไทยออยล์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการกลับมาเดินเครื่องกลั่นเต็มกำลัง และค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มตึงตัว การบริหารความเสี่ยงและฐานะการเงินที่ดีขึ้นจะช่วยให้ไทยออยล์มีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2569 ส่วนแผนการลงทุนในอนาคต ไทยออยล์และบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2572 เป็นจำนวน 1,736 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นโครงการพลังงานสะอาด (CFP) 1,538 ล้านดอลลาร์สหรัฐและโครงการอื่นๆของบริษัทฯที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายบัณทิต กล่าว

Back to top button