ไอพีโอเสียเสน่ห์! ราคาเปิด “หลุดจอง” ถูกถล่มขายช่วง ATO ไม่สะท้อนพื้นฐาน

แรงขายผิดธรรมชาติในช่วง ATO เล่นงานหุ้น IPO เปิดต่ำกว่าจองทันที ไม่ตรงกับศักยภาพธุรกิจ นักลงทุนระยะยาวถูกกระทบด้านความเชื่อมั่น และทำให้บริษัทศักยภาพดีลังเลเข้าตลาดในอนาคตหากไม่เร่งแก้ไข


ตลาดหุ้นน้องใหม่ (IPO) กำลังเผชิญปรากฏการณ์สำคัญที่ทุกฝ่ายในตลาดทุนต้องร่วมกันพิจารณาอย่างจริงจัง นั่นคือ แรงขายอย่างหนักตั้งแต่ช่วง ATO (At The Open) ในวันแรกของการซื้อขายในตลาดรอง ซึ่งเป็นรอบการกำหนดราคาเปิดตลาด

พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นถี่ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้น IPO ชุดล่าสุดที่เข้าจดทะเบียน 3–4 ตัวหลังสุด ซึ่งต่างเผชิญแรงขายอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่วินาทีแรกของ ATO ส่งผลให้ราคาหุ้นเปิดต่ำกว่าราคาเสนอขายหรือปรับตัวอ่อนแรงทันทีตั้งแต่เริ่มต้นการซื้อขาย

กลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่าตลาด IPO ไทยกำลังสูญเสียความน่าดึงดูดอย่างต่อเนื่อง ทั้งสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาว และสำหรับบริษัทที่ต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะเมื่อภาพของ “เปิดปุ๊บ–ทิ้งปั๊บ”  เริ่มปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบโดยรวม และทำให้ตลาด IPO ค่อย ๆ เสื่อมเสน่ห์ลง

หนึ่งในกรณีที่สะท้อนสถานการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน ที่ถูกขายทิ้งทันทีในช่วง ATO คือ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ที่พบแรงขายปริมาณมากผิดปกติตั้งแต่ช่วง ATO ส่งผลให้ราคาเปิดวันแรกอยู่ที่ 2.50 บาท ต่ำกว่าราคาเสนอขาย IPO ที่ 3 บาท คิดเป็นการปรับตัวลดลง 16.67% และปิดวันแรกที่ 2.22 บาท ลดลง 26% แสดงให้เห็นว่าความกดดันจากแรงขายยังคงต่อเนื่องตลอดวัน

ในกรณีของ บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM ก็ปรากฏพฤติกรรมคล้ายกัน โดยมีคำสั่งขายจำนวนมากเข้ามาตั้งแต่ช่วงเปิด ATO แม้จะเปิดการซื้อขายใกล้ระดับราคา IPO ที่ 5.50 บาท แต่แรงขายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดวันส่งผลให้ราคาหุ้นปิดวันแรกที่ระดับ  4.66บาท ลดลง 15.27% จากราคาเสนอขาย

ส่วน บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO ก็เผชิญแรงขายที่ผิดปกติในช่วง ATO เช่นกัน ทำให้ราคาเปิดวันแรกอยู่ที่ 4.50 บาท ต่ำกว่าราคาเสนอขาย ITO ที่ 5.40 บาท คิดเป็นการลดลง 16.67% ก่อนที่ราคาปิดวันแรกจะอยู่ที่ 4.10 บาท ลดลง 24.07% จากราคาไอพีโอ

แรงขายจำนวนมากที่ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ช่วงกำหนดราคาเปิด ส่งผลให้ราคา IPO ในวันแรก ไม่สามารถสะท้อนพื้นฐานหรือศักยภาพของบริษัทได้อย่างแท้จริง เนื่องจากตลาดยังไม่ได้มีโอกาสประเมินข้อมูลอย่างเหมาะสม ทำให้การกำหนดราคาเปิด (Opening Price Discovery) ถูกบิดเบือนด้วยแรงเก็งกำไกระยะสั้นมากกว่าการประเมินมูลค่าที่แท้จริง

ผลลัพธ์คือ นักลงทุนระยะยาวไม่สามารถใช้ราคาเปิดเป็นตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ รวมถึงการประเมินมูลค่าธุรกิจในระยะยาวทำได้ยากขึ้น และภาพรวมความเชื่อมั่นในกลไกตลาด IPO ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ที่น่าสนใจคือ หุ้น IPO ที่เผชิญแรงขายดังกล่าวมี พื้นฐานธุรกิจที่แข็งแรง และมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในระดับสม่ำเสมอ สะท้อนว่าราคาที่ลดลงในวันแรกไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัจจัยพื้นฐาน

สำหรับ ATLAS  รายงานผลการดำเนงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสทธิ 72.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.29% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 58.06 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 227.86 ล้านบาท  ลดลง 1.13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 230.46 ล้านบาท

ขณะที่คณะกรรมการมีมติอุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2568 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล XD วันที่ 20 พ.ย. 2568 และกำหนดจ่ายวันที่ 3ธ.ค. 2568

ด้าน MMM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 39.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114.54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน อยู่ที่ 18.50 บาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 102.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155.81% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนอยูที่ 40.26 ล้านบาท

ส่วน SMO รายงานผลการดำเนงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสทธิ 133.57 ล้านบาท ลดลง 24.86% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 177.77 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 652.09  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.39% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 305.59 ล้านบาท

ขณะที่คณะกรรมการมีมติอุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.15บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล XD วันที่ 25 พ.ย. 2568 และกำหนดจ่ายวันที่ 11 ธ.ค. 2568

เมื่อปรากฏการณ์หุ้นหลุดจองในวันแรกเกิดซ้ำมากขึ้น ภาพลักษณ์ของหุ้นน้องใหม่ย่อมเสียหายตามไปด้วย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเชื่อว่าหุ้น IPO มีโอกาสร่วงตั้งแต่วันแรก ซึ่งทำให้ความสนใจในการจองซื้อหุ้นลดลง และกระทบคุณภาพของตลาด IPO ในรุ่นถัดไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ในขณะเดียวกัน แรงขายช่วง ATO ยังสร้างผลกระทบแบบแบบโดมิโน โดยเมื่อมีแรงขายจากนักลงทุนรายใหญ่ในช่วงเปิดตลาด นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเกิดความตื่นตระหนกและรีบขายตาม ทำให้แรงกดดันยิ่งทวีความรุนแรง และทำให้หุ้นบางตัวปรับลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่กี่สิบนาที แม้ว่าบริษัทจะมีพื้นฐานแข็งแรงก็ตาม

ผลกระทบดังกล่าวยังลุกลามไปถึงความสามารถในการระดมทุนของบริษัทเอกชน เนื่องจากราคาหุ้นที่มักเปิดต่ำกว่าจองอาจทำให้บริษัทที่มีศักยภาพลังเลที่จะเข้าตลาด เพราะกังวลว่าจะถูกประเมินมูลค่าต่ำ ส่งผลให้ตลาดทุนไทยสูญเสียโอกาสดึงบริษัทที่มีคุณภาพเข้ามาเสริมฐานทุน

นอกจากนี้ เมื่อ IPO ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในวันแรก นักลงทุนสถาบันซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญก็เริ่มลดบทบาทลง ทำให้ตลาดยิ่งพึ่งพานักลงทุนสายเก็งกำไรมากขึ้น และส่งผลให้โครงสร้างของตลาด IPO อ่อนแอลงเรื่อย ๆ

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าปรากฏการณ์แรงขายตั้งแต่ช่วง ATO มิได้เป็นเพียงความผันผวนระยะสั้น แต่เป็นสัญญาณเชิงโครงสร้างที่บ่งชี้ว่าตลาด IPO ไทยกำลังเผชิญปัญหาความเชื่อมั่นถดถอย หากไม่เร่งดำเนินมาตรการแก้ไข เสน่ห์ของการระดมทุนผ่าน IPO อาจลดลงต่อเนื่อง และทำให้นักลงทุนรวมถึงบริษัทที่มีศักยภาพหันหลังให้ตลาดทุนไทยในระยะยาว

ดังนั้น ตลาดทุนไทยจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพของกระบวนการ IPO ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบจากแรงขายเชิงเก็งกำไร เพื่อให้ราคาเปิดสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท และช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อระบบ IPO อย่างยั่งยืนในอนาคต

Back to top button