
PLT ปรับเป้ารายได้ปีนี้โต 12% เดินหน้ากลยุทธ์ Asset Light-เร่งขยายกองเรือต่างประเทศ
PLT มองรายได้ปี 68 โต 12% หลังดีมานด์ขนส่งก๊าซในประเทศชะลอ หันเร่งขยายกองเรือต่างประเทศ ดันสัดส่วนรายได้แตะ 30% ปี 69 ลุยกลยุทธ์ Asset Light เช่าเรือก่อนซื้อ พร้อมเตรียมบริหารเรือต่างประเทศเองเพื่อลดต้นทุนและหนุนกำไรเติบโตอย่างยั่งยืน
นายวราวิช ฉิมตะวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีลาทัส มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PLT เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ว่า บริษัทได้ปรับประมาณการรายได้รวมปี 2568 เหลือเติบโตประมาณ 12% จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ 15% โดยเป็นผลจากปริมาณขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ในประเทศที่ลดลงราว 6% และผลของการปรับลดราคาน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่น ซึ่งมีผลต่อโครงสร้างรายได้จากกองเรือในประเทศที่อ้างอิงอัตราค่าบริการตามราคาน้ำมันดีเซล
ทั้งนี้ แม้ธุรกิจในประเทศชะลอตัว แต่รายได้จากกองเรือต่างประเทศ โดยเฉพาะการให้บริการเรือเช่าเหมาลำระยะยาว (ไทม์ชาร์เตอร์) และงานเดินเรือแบบสปอต ยังคงเติบโตโดดเด่นกว่า 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยชดเชยรายได้ในประเทศและสนับสนุนให้รายได้รวมของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 6–8 และรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (อีบิทดา มาร์จิ้น) ใกล้ระดับร้อยละ 30 ในระยะยาว
นายวราวิช ระบุว่า ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจต่างประเทศอยู่ที่ประมาณร้อยละ 24 ของรายได้รวม โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีเรือต่างประเทศในกองเรือจำนวน 2 ลำ ก่อนจะเริ่มรับรู้รายได้จากเรือต่างประเทศลำที่ 3 ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ซึ่งหากมีการรับรู้รายได้เรือลำดังกล่าวเต็มปีในปี 2569 บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศมีโอกาสขยับขึ้นเข้าใกล้หรือแตะระดับร้อยละ 30 ของรายได้รวม ทั้งนี้ แม้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตไม่มาก แต่บริษัทเชื่อว่าธุรกิจในต่างประเทศยังมีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากแผนขยายกองเรือและเพิ่มฐานลูกค้าในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับธุรกิจในประเทศ บริษัทได้ปรับขึ้นค่าเฟรตให้แก่ลูกค้ารายใหญ่แล้ว แต่ปริมาณขนส่งก๊าซภายในประเทศที่ลดลงทำให้รายได้โดยรวมทรงตัว โดยบริษัทจะติดตามทิศทางเศรษฐกิจและตัวเลขการใช้ก๊าซในประเทศอย่างใกล้ชิด หากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวและความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น บริษัทจะได้รับประโยชน์จากทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศพร้อมกัน
ขณะที่ในส่วนของกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ บริษัทได้ปรับจากแผนลงทุนซื้อเรือขนาดความจุ 3,500 ลูกบาศก์เมตรในทันที มาเป็นการใช้โมเดล “แอสเซ็ตไลท์” โดยเช่าเรือจากเจ้าของเรือก่อนระยะเวลา 1 ปี แล้วจึงพิจารณาซื้อในภายหลัง หากสภาพเรือและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด โมเดลดังกล่าวทำให้บริษัทแทบไม่ต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ในระยะเริ่มแรก สามารถทดสอบสมรรถนะเรือจริงในเชิงปฏิบัติการ และนำเรือที่เช่ามาไปปล่อยเช่าในรูปแบบไทม์ชาร์เตอร์ให้แก่ลูกค้าเทรดเดอร์รายใหญ่ระดับภูมิภาค โดยส่วนต่างอัตรากำไรจากการเช่าเรือและปล่อยเช่าต่อนั้นอยู่ที่ประมาณร้อยละ 16–20 ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายหลัก เช่น ค่าแรงคนประจำเรือ ค่าบำรุงรักษา และค่าซ่อมแซม จะเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของเรือ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในด้านต้นทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
นายวราวิช เปิดเผยถึงแผนขยายกองเรือระยะ 4 ปีว่า ในปี 2568 บริษัทมีแผนเช่าเรือขนาด 3,500 ลูกบาศก์เมตร เพื่อรองรับการเติบโตของงานต่างประเทศ จากนั้นในปี 2569 บริษัทจะพิจารณาซื้อเรือที่เช่าอยู่ หากผลการใช้งานและเงื่อนไขทางธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมาย ต่อเนื่องด้วยการเช่าเรือขนาด 5,000 ลูกบาศก์เมตรในปี 2570 และพิจารณาซื้อเรือดังกล่าวในปี 2571 โดยคาดว่าแผนดังกล่าวจะช่วยให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากระดับใกล้ร้อยละ 30 ในปี 2569
ด้านจุดแข็งเชิงโครงสร้าง PLT เป็นผู้ให้บริการขนส่งก๊าซทั้งทางเรือและทางรถ ครอบคลุมทั้งก๊าซแอลพีจีและผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโอเลฟิน โดยบริษัทมีกองเรือขนส่งก๊าซในประเทศจำนวนมากที่สุดและมีอายุเรือเฉลี่ยใหม่ที่สุดในตลาด อีกทั้งดำเนินธุรกิจในประเทศมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีสัญญาระยะยาวกับผู้ค้าก๊าซรายใหญ่หลายราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาที่ต่อเนื่องและไม่มีกำหนดอายุสิ้นสุด ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจในประเทศมีลักษณะเป็นรายได้ประจำที่มั่นคง และเป็นฐานสำคัญรองรับการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ
สำหรับโครงสร้างรายได้ปัจจุบันแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจในประเทศประมาณ 65% รายได้จากต่างประเทศ 24% และที่เหลือเป็นธุรกิจขนส่งทางรถ โดยในส่วนของตลาดในประเทศ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดขนส่งก๊าซให้แก่ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 รายใหญ่ในระดับสูง ได้แก่ กลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งบริษัทให้บริการขนส่งในสัดส่วนประมาณ 70% และบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP ซึ่งใช้บริการของบริษัทเกือบทั้งหมด ขณะที่ลูกค้าบางราย เช่น บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP แม้จะมีกองเรือของตนเอง แต่ยังมีการใช้บริการ PLT ในลักษณะงานเดินเรือแบบสปอตเป็นระยะ
สำหรับตลาดต่างประเทศ บริษัทมุ่งเน้นเส้นทางเดินเรือในภูมิภาคเอเชียเหนือและเอเชียใต้ โดยให้ความสำคัญกับเรือขนาด 3,500–5,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นเรือขนส่งก๊าซขนาดเล็กที่มีระบบล้างถัง สามารถสลับขนส่งผลิตภัณฑ์โอเลฟินและผลิตภัณฑ์อื่นได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับความต้องการของเทรดเดอร์รายใหญ่ที่มุ่งแสวงหากำไรจากส่วนต่างราคาสินค้าในแต่ละภูมิภาค เขาระบุว่า ภาวะสงครามการค้าและความตึงเครียดด้านการค้ามีส่วนทำให้ประเทศในเอเชียต้องพึ่งพาตนเองด้านพลังงานและวัตถุดิบมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้เรือขนาดเล็กในภูมิภาคยังคงคึกคัก
อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในไตรมาส 4 ปี 2568 คือ แผนการเริ่มบริหารเรือต่างประเทศด้วยทีมงานของบริษัทเอง หลังจากที่ผ่านมาใช้บริการบริษัทต่างชาติ โดยเรือลำแรกที่บริษัทจะรับช่วงมาบริหารเองคือเรือ “พีราฮัท 66” ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านจะมีการเดินเรือแบบสปอตชั่วคราว เพื่อรองรับการหยุดเรือบางช่วงในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารและเอกสาร หากการดำเนินงานดังกล่าวสำเร็จตามแผน บริษัทคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการบริหารกองเรือต่างประเทศลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้อัตรากำไรจากธุรกิจต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยมีแผนขยายการบริหารเองไปยังเรือต่างประเทศทุกลำในกองเรือในระยะถัดไป
สำหรับกลยุทธ์รองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในปี 2569 นายวราวิช ระบุว่า หากเศรษฐกิจชะลอตัวและปริมาณการใช้ก๊าซในประเทศลดลงจากภาพรวมทั้งระบบ บริษัทจะหันไปเน้นขยายธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น พร้อมบริหารกองเรือให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และพิจารณาปรับขนาดกองเรือให้เหมาะสมกับอุปสงค์ที่แท้จริง เพื่อให้รายได้และต้นทุนปรับตัวสอดคล้องกัน ในกรณีที่ยอดใช้ก๊าซลดลงเฉพาะบางลูกค้า บริษัทจะเร่งกระจายฐานลูกค้าและมองหาโอกาสให้บริการลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น
นายวราวิช กล่าวทิ้งท้ายว่า ธุรกิจของบริษัทเป็นธุรกิจที่ดำเนินการด้วยความตั้งใจและมุ่งเน้นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเห็นได้จากแนวโน้มรายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กลยุทธ์การดำเนินงานที่ชัดเจน การมีฐานลูกค้ารายใหญ่ที่ให้ความไว้วางใจและทำสัญญาระยะยาวกับบริษัท รวมถึงความระมัดระวังในการลงทุนเรือใหม่ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง โดยเริ่มจากการเช่าเรือเพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์มูลค่าสูง
ทั้งนี้ บริษัทจะติดตามผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2568 อย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการประเมินเป้าหมายรายได้และแผนการควบคุมต้นทุนของธุรกิจต่างประเทศในปีถัดไป พร้อมยืนยันว่าจะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและโปร่งใสแก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง

