
ICHI ชูแคมเปญ Q4 โฟกัสต่างประเทศ-ร้านสะดวกซื้อ พร้อมยอดผลิต OEM พุ่ง
ICHI เผยไตรมาส 4/68 เดินหน้าแคมเปญ “ซื้อ 1 แถม 1” หนุนยอดขายร้านสะดวกซื้อและตลาดต่างประเทศ เติบโตต่อเนื่องจากสินค้าใหม่และ OEM ขณะที่อินโดนีเซีย-ลาวยังขยายตลาด ขับเคลื่อนผลกำไรและแผน 3M Strategy
นายอภิชาติ สุขจิรวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 โดยระบุว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 2,134.99 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 358.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 357.25 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการกิจการร่วมค้า เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้นจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 6,144.24 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,010.72 ล้านบาท ลดลง 0.01% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 1,099.89 ล้านบาท โดยยอดขายในประเทศลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศและฤดูร้อนในปีนี้มีระยะเวลาสั้นกว่าปกติ แต่ส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 49.30% เนื่องจากมีรายได้จากการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น
นายธนพันธุ์ คงนันทะ รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บมจ. อิชิตัน กรุ๊ป กล่าวถึง ภาพรวมผลการดำเนินงานและทิศทางของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดยระบุว่า อิชิตันยังคงทำผลงานโดดเด่นอย่างมากในช่องทางร้านสะดวกซื้อ (CBS) ซึ่งเป็นตลาดหลักของชาเขียวพร้อมดื่มคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% ของตลาดรวม โดยยอดขายในช่องทางนี้เติบโตขึ้นถึง 7.9% สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าใหม่ (NPD) ที่บริษัทเปิดตัวในปีนี้ ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีและช่วยผลักดันยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ
นายธนพันธุ์ ระบุอีกว่า ในส่วนของกลยุทธ์เชิงรุกในไตรมาส 4 บริษัทได้เดินหน้าแคมเปญครั้งใหญ่ในตลาด Traditional Trade โดยเฉพาะสินค้าราคาจับต้องได้อย่างอิชิตัน 10 บาท ซึ่งมีโปรโมชั่น “ซื้อ 1 ลัง แถม 1 ขวด” ลูกค้าซื้อจากแมคโครหรือร้านค้าดังเดิมทั่วไป สามารถตัดฝาหลักแลกรับขวดฟรีได้ทันทีโดยไม่ต้องสะสมแต้ม
ขณะที่แบรนด์เย็นเย็นก็จัดแคมเปญในลักษณะเดียวกัน แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม และจะดำเนินต่อเนื่องถึงกลางเดือนมกราคมปีหน้า โดยเป็นจังหวะที่สอดคล้องกับมาตรการภาครัฐ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและส่งผลดีต่อบรรยากาศการบริโภคโดยรวม
นายธนพันธุ์เปิดอีกว่า ในตลาดต่างประเทศ อินโดนีเซียยังเป็นตลาดที่เติบโตแข็งแกร่ง โดยยอดขายสะสม 9 เดือนเติบโต 1.1% ในเชิงมูลค่า และเพิ่มขึ้น 5.7% ในเชิงปริมาณรวมกว่า 4 ล้านลัง ขณะที่ตลาดร้านค้ารายย่อยเติบโตโดดเด่นที่ 6.8% และ 12.7% ตามลำดับ อีกทั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะพลิกกลับมาทำกำไร ส่งผลให้บริษัทรับรู้กำไรกลับไทยราว 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงปีก่อนอยู่ที่ 9.3 ล้านบาท
สำหรับตลาดลาว ถือเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท โดยยอดส่งออกทำสถิติสูงต่อเนื่องจากการขยายพื้นที่จัดจำหน่ายและพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับรสนิยมผู้บริโภคในประเทศ ขณะที่ตลาดกัมพูชายังถูกกดดันอย่างหนักจากกระแสต่อต้านสินค้าจากไทย ซึ่งบริษัทได้รับผลกระทบโดยตรง
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้ากลยุทธ์ ความคุ้มค่าทางการเงิน (Value for Money) ด้วยสินค้าแพ็กใหญ่ที่มียอดขายเหนือความคาดหมาย พร้อมทั้งเตรียมนำผลการดำเนินงานทั้งหมดต่อยอดสู่แผน 3M Strategy รวมไปถึงสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำของผู้บริโภค โดยต่อยอดจากความสำเร็จในช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อและในตลาดต่างประเทศ

