“อินโนเวสท์ เอกซ์” ชี้หุ้นเทคยุค AI พื้นฐานแกร่งกว่า “ฟองสบู่ดอตคอม”

“อินโนเวสท์ เอกซ์” เทียบชัด! หุ้นเทคปี 68 ราคาพุ่งแรง พื้นฐานแข็งแกร่งกว่ายุค Dot-com Bubble แต่เตือนความเสี่ยงจาก Capex Data Center อาจกดดันกำไรภายใน 2–3 ปีข้างหน้า หากรายได้จาก AI โตไม่ทันต้นทุน


นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์​ เอกซ์ บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เปิดเผยมุมมองต่อกระแสลงทุนหุ้นเทคโนโลยีโลกปี 2568 ว่า แม้ตลาดปัจจุบันจะดูร้อนแรงและมีราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่เข้าข่าย “ฟองสบู่” แบบยุค Dot-com Bubble ปี 2000 เนื่องจากพื้นฐานของบริษัทเทคโนโลยีในปี 2568 แข็งแรงกว่าอย่างชัดเจน โดยข้อมูลยืนยันได้จากหลายประเด็น ได้แก่

1.Valuation ยังไม่แพงมาก หากดูค่า P/E ของกลุ่ม Tech ในปัจจุบัน (พ.ย.68) อยู่ที่ประมาณ 32.6 เท่า ซึ่งถือว่าสูง แต่เมื่อเทียบกับจุดพีคของฟองสบู่ Dot-com  ที่พุ่งไปถึง 64.5 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ถูกกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะที่กลุ่มผู้นำอย่าง Magnificent 7 ปัจจุบันมี Forward P/E ปี 2569 ที่ 30.6 เท่า ในขณะที่ Top 5 ของยุคปี 2000 (MSFT, CSCO, GE, INTC, XOM) มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 43 เท่า

2.กำไรเติบโตดีและทำได้ดีกว่าที่คาด ความต่างที่สำคัญที่สุดคือกำไร ในยุค Dot-com หุ้นอย่าง Cisco มี P/E เกือบ 100 เท่า โดยมีความหวังว่ารายได้จะโตมหาศาล แต่ของจริงกลับน่าผิดหวัง ในทางกลับกัน กลุ่ม Magnificent 7 ในปัจจุบันมีการเติบโตของกำไรที่ 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น และที่น่าสนใจคือการปรับประมาณการกำไรปี 2569 ถูกปรับขึ้นถึง 24% YTD ซึ่งแซงหน้าผลตอบแทนของราคาหุ้นแสดงว่าราคาหุ้นที่ขึ้นมามีกำไรมารองรับ

3.คุณภาพงบดุล – บริษัทเทคโนโลยี ตอนนี้มีสถานะเป็นเครื่องผลิตเงินสด ต่างจากยุค Dot-com ที่บริษัทส่วนใหญ่ขาดทุนและใช้เงินจากการกู้ยืมหรือระดมทุนมาลงทุน

อย่างไรก็ตามมองว่าโอกาสที่จะแตกในระยะสั้นยังต่ำ แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐานจากกับดัก Capex ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา

1.ความเสี่ยงเรื่องค่าเสื่อมราคา โดยบริษัทอย่าง Amazon, Meta, Microsoft และ Google กำลังทุ่มเงินลงทุนมหาศาลระดับ 2 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง Data Center และซื้อชิป AI แต่ปัญหาคือ ฮาร์ดแวร์ AI เช่น GPU มีอายุการใช้งานสั้นมากเพียง 3-5 ปี  ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องลงทุนซ้ำๆ ตลอดเวลา หาก AI ไม่สามารถสร้างรายได้ กลับมาได้ทันภายใน 2-3 ปีนี้ กำไรของบริษัทเหล่านี้จะถูกกดดันอย่างหนักจากค่าเสื่อมราคาที่พุ่งสูงขึ้น

2.สัญญาณเตือนจาก Capex/Sales โดยสัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่อยอดขายของ S&P 500 กำลังพุ่งขึ้นสู่ระดับเดียวกับช่วงกลางปี 1997 ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเรากำลังเข้าสู่ช่วงการลงทุนที่ดุเดือดและในอดีต เช่น ยุค Telecom Bubble หรือ Shale Oil การลงทุนที่มากเกินไปมักจบลงด้วยผลตอบแทนที่แย่ลง

3.เศรษฐกิจชะลอตัว โดยมองว่าตราบใดที่ไม่มีปัจจัยลบภายนอกที่รุนแรง วัฏจักรนี้ยังมีพื้นที่ให้วิ่งต่อ เพราะ Productivity ของ AI เพิ่งเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจชะลอตัว หรือเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยความสามารถในการแบกรับต้นทุน AI มหาศาลเหล่านี้จะกลายเป็นภาระหนักและกดดันอัตราการทำกำไรอย่างชัดเจน

Back to top button