“ฟิลลิป” เชียร์ซื้อ TTW ชี้ Q4 โตแรง รับยอดขายน้ำพุ่ง-ปันผลสูง 6.7% ชูเป้า 10.10 บ.

“บล.ฟิลลิป” ประเมินแนวโน้ม TTW ไตรมาส 4/68 เติบโตต่อเนื่องจากปริมาณจำหน่ายน้ำที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง ขณะเดียวกันการลงทุนในโครงการหลวงพระบางไม่กระทบต่อความสามารถในการจ่ายปันผล โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท พร้อมคาดผลตอบแทนเงินปันผลราว 6.7% ต่อปี


บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ไตรมาสที่ 4/2568 คาดว่ายังคงเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณการจำหน่ายน้ำที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับลดลง โดยลักษณะธุรกิจสาธารณูปโภคยังมีความมั่นคง พร้อมทั้งมีการปรับขึ้นอัตราค่าบริการเฉลี่ย 2-3% ตามการบริหารต้นทุนและโครงสร้างอัตราค่าบริการ

โดยข้อมูลเดือนตุลาคมชี้ว่าปริมาณขายน้ำในทุกพื้นที่เพิ่มขึ้น 4.2% อยู่ที่ 27.52 ล้านลูกบาศก์เมตร สาเหตุหลักมาจากการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น หลังความไม่แน่นอนของประเด็นภาษีสหรัฐฯ (ทรัมป์) มีความชัดเจน ประกอบกับมาตรการภาครัฐกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และพื้นที่ให้บริการน้ำที่เพิ่มขึ้น แม้โดยปกติปริมาณการใช้น้ำในเดือนธันวาคมมักลดลงจากวันหยุดจำนวนมาก

ด้านต้นทุนการผลิตได้รับปัจจัยบวกจากค่าไฟฟ้าต่อหน่วยที่ปรับลดลง 5.7% เหลือ 3.94 บาท ซึ่งค่าไฟฟ้าคิดเป็นต้นทุนราว 30–35% ส่งผลให้ธุรกิจน้ำประปามีแนวโน้มเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อน

ในส่วนของกำไรจากบริษัทร่วม CKP คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนเช่นกัน จากปริมาณน้ำต้นทุนที่สูงขึ้นในปีนี้ โดยการผลิตไฟฟ้าเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ดี กำไรของ TTW เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสมีโอกาสลดลง ตามฤดูกาลของ CKP และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้ใหม่

ทั้งนี้ TTW ลงทุนในโครงการหลวงพระบาง (LPCL) โดยออกหุ้นกู้ 3 ชุด มูลค่า 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.13% เพื่อถือหุ้น 10% ในโรงไฟฟ้าพลังน้ำกำลังการผลิต 1,460 เมกะวัตต์ วงเงินลงทุนรวมไม่เกิน 4,597 ล้านบาท ปัจจุบันชำระเงินให้ CK แล้ว 2,765 ล้านบาท และต้องเพิ่มทุนอีก 1,715 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะกู้เพิ่มราว 1,400–1,500 ล้านบาท โครงการมีสัญญาซื้อไฟฟ้า 35 ปี อยู่ระหว่างก่อสร้างกว่า 60% และเตรียมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2573

แม้การลงทุนจะทำให้ D/E เพิ่มเป็นราว 0.6 เท่าและดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น แต่บริษัทระบุว่าจะไม่กระทบต่อการจ่ายปันผล เนื่องจากมีเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 3,200 ล้านบาทต่อปี พร้อมทยอยชำระคืนเงินกู้ โดยในปี 2569 มีกำหนดชำระคืน 710 ล้านบาท และหลังจากลงทุน LPCL แล้วไม่มีโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมในระยะใกล้

อย่างไรก็ตาม บล.ฟิลลิป ยังคงคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลในระดับเดิมได้ โดยฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.10 บาท อีกทั้งยังเพื่อเน้นรับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประมาณ 6.7% ต่อปี

Back to top button