
ก.ล.ต. ลงดาบ “กิติศักดิ์–กิตติ” พร้อมพวก ปมทุจริตซื้อขาย “โมเมนตัม เอส” ตั้งราคาเกินจริง
ก.ล.ต. กล่าวโทษ “กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์- กิตติ พัวถาวรสกุล” อดีตกรรมการและผู้บริหาร CMO พร้อมพวกอีก 2 ราย ร่วมกันใช้บริษัท T-Money ซื้อหุ้นบริษัทย่อย MTS ในราคา 4 แสนบาท ก่อนขายต่อให้ CMO ที่ 65 ล้านบาท ทำให้บริษัทเสียหาย เข้าข่ายทุจริตตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ พร้อมส่งเรื่องให้ บก.ปอศ. และ ปปง. ดำเนินคดี
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานเกี่ยวกับกรณีผู้สอบบัญชีของบริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ได้ปฏิบัติตามมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ) แจ้งความผิดปกติจากการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2566 ในเดือนตุลาคม 2566 พบธุรกรรมการลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทย่อยราย บริษัท โมเมนตัม เอส จำกัด หรือ MTS และรายงานผลการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (Special Audit) ที่ได้จัดทำตามคำสั่งของ ก.ล.ต. และ CMO ส่งให้ ก.ล.ต. ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นั้น
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวและพบพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า อดีตกรรมการ/ผู้บริหารของ CMO 2 ราย ได้แก่ นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ และนายกิตติ พัวถาวรสกุล และพวกอีก 2 ราย ได้แก่ นายสุรเดช ตั้งเสถียรชัยกุล และบริษัท ที มันนี่ (ไทยแลนด์) จำกัด (T-Money) กระทำการทุจริตผ่านการลงทุนซื้อหุ้น MTS
โดยพบว่า นายกิตติศักดิ์ และนายกิตติ นำ T-Money ไปซื้อหุ้น MTS จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในราคาทุนเพียง 400,000 บาท ก่อนนำไปขายต่อให้แก่ CMO ในราคา 65 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินกว่าราคาที่สามารถซื้อได้จริง และพบว่าบุคคลดังกล่าวทั้ง 2 รายเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากส่วนต่าง (กำไร) จากการขายหุ้นดังกล่าว เป็นเหตุให้ CMO ได้รับความเสียหาย อันเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
การกระทำของบุคคล / นิติบุคคลดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 และมาตรา 307 มาตรา 311 มาตรา 313 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 รายต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
รวมทั้ง ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ด้วยเนื่องจากเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในการถูกกล่าวโทษในข้อหาความผิดที่กล่าว ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลข้างต้นเข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวน บก.ปอศ.
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

