ช้อนยัง! 8 หุ้นเด็ด Turnaround ของจริง

ช้อนยัง! 8 หุ้นเด็ด Turnaround ของจริง นำโดย RS,MONO,BANPU,TTA,TSTH,JWD,SMT, PACE


ช้อนยัง! 8 หุ้นเด็ด Turnaround ของจริง นำโดย RS, MONO, BANPU, TTA, TSTH, JWD, SMT และ PACE

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่น่าสนใจต่อการลงทุนปี 60 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบริษัทที่พลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้อย่างโดดเด่นในปี 59 อีกทั้งมีศักยภาพที่จะทำกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตอย่างแข็งแกร่ง

โดยจากการรวบรวมข้องมูลหุ้นที่มีโอกาสพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมามีกำไรได้อย่างสดใส อาทิ MONO, RS, BANPU, TTA, TSTH, JWD, SMT และ PACE เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน ยิ่งในภาวะที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุน ก็เชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นทางเลือกในการพิจารณาเข้าลงทุนได้ไม่มากก็น้อย

 

เริ่มกันที่ บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ประกอบธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสื่อและการให้บริการข้อมูล ประกอบด้วยธุรกิจโมบายอินเทอร์เน็ต ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสื่อทีวี ธุรกิจสื่อวิทยุ และกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้านบันเทิง ประกอบด้วยธุรกิจเพลง และธุรกิจภาพยนตร์

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ปี 2559 MONO มีผลประกอบการขาดทุน 250 ล้านบาท แต่ด้วยการมี Content ที่แข็งแกร่งจนทำให้ช่อง MONO29 เริ่มติดตลาด และมีเรทติ้งสูงเป็นอันดับ 4 รวมถึง CPRP(Cost per Rating Point) ที่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอยู่มาก จึงทำให้เราปรับสมมติฐานอัตราโฆษณาปี 2560 เพิ่มจากเดิม 2.7 หมื่นบาท/นาที เป็น 3 หมืนบาท/นาที (ซึ่งยังเป็นเรทที่มี discount จากคู่แข่งราว 25-30%) ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2560 เพิ่มขึ้นจากเดิม 33.0% และมีกำไรสุทธิ 327 ล้านบาท ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากผลประกอบการที่ขาดทุน 250 ในปี 2559

ด้วยแนวโน้มการ Turnaround ที่แข็งแกร่ง บวกกับ ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 9.9%  จากราคาเป้าหมายใหม่ปี 2560 ที่ 4.00 บาท (อิงวิธี DCF) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ตามาด้วยบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) พลิกขาดขาดทุน 102.15 ล้านบาท เทียบปีก่อนมีกำไร 121.63 ล้านบาท เนื่องจากจากการลดลงของรายได้ธุรกิจสื่อเป็นหลัก

นายดามพ์ นานา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ภาครัฐใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศมีการฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรมสื่อเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จึงเชื่อมั่นว่าในปีนี้ RS จะเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะบริษัทมีการวางกลยุทธ์เชิงรุกที่ดี

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้น Turnaround  คาดว่ามีอยู่หลายกลุ่มฯ เริ่มจากกลุ่มบันเทิง โดยเฉพาะกลุ่มทีวีดิจิทัล พบว่า RS([email protected]) น่าจะมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนในงวดไตรมาส1/60 สะท้อนจากที่ RS เนื่องจากสามารถปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาช่อง 8 ได้ตั้งแต่ต้นปีในอัตราเฉลี่ยสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 35% และสามารถขายเวลาโฆษณาของช่อง 8 ได้แล้ว 50% ของเป้ารายได้ช่อง 8 ของปีนี้ที่ 1.9 พันล้านบาท นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามของ RS คาดจะพลิกฟื้นกลับมามีกำไรเช่นกัน จากการรุกตลาดช่องทางเทเลเซล (call center) มากขึ้น

นอกจากนี้ยังทยอยเพิ่มร้านค้าช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และลดเป้าค่าใช้จ่ายการตลาดเหลือ 2 ล้านบาทในปีนี้ จากปีก่อนที่ 9 ล้านบาท  ปัจจัยบวกดังกล่าวข้างต้น คาดจะทำให้ RS พลิกจากขาดทุนในปี 2559 ที่ราว 197 ล้านบาท เป็นกำไรในปีนี้ราว 211 ล้านบาท ขณะมูลค่าพื้นฐานปัจจุบันอยู่ที่ 10.40 บาท ยังมี Upside เกิน 12% RS จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในกลุ่มมีเดียส์

 

อีกรายบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU น่าจะเป็นหุ้น Turnaround ชัดเจนเห็นได้จากผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 168.14 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.052 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 57.34 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.022 บาทต่อหุ้น

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BANPU คาดกำไรไตรมาส 4/59 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 59 โดยคาดกำไรสุทธิที่ 888 ล้านบาท พลิกกลับมาจากขาดทุน 1,477 ล้านบาท ในไตรมาส4/59 และกำไรเพียง 70 ล้านบาทในไตรมาส 3/59 ซึ่งกำไรที่กระโดดขึ้นมาหนุนโดยราคาถ่านหินที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา

ในขณะที่ปริมาณขายก็มีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นการดำเนินงานของธุรกิจโรงไฟฟ้ามีการปรับตัวดีขึ้นทั้ง Hongsa และ BLCP คาดว่าการฟื้นตัวของกำไรจะต่อเนื่องไปถึงปี 60 จากความสมดุลของอุปสงค์อุปทานถ่านหิน ยังคงคำแนะนำซื้อราคาเปาหมาย 23 บาท

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ส่วนราคาถ่านหิน อ้างอิงดัชนี Barlow Jonker Index (BJI) สัปดาห์ล่าสุด (20 ม.ค.) เพิ่มขึ้น 1.24 เหรียญฯต่อตัน มาอยู่ที่ 83.80 เหรียญฯต่อตัน จากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 82.56 เหรียญฯต่อตัน จากปริมาณความต้องการใช้ถ่านหินในจีนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากการปิดตัวของเหมืองถ่านหินที่ไม่มีคุณภาพหลายแห่งในประเทศตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้คาดความต้องการใช้ถ่านหินจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งหลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในทิศทางขาขึ้น เป็น Sentiment บวกต่อ  BANPU (FV@B24) คาดผลประกอบการไตรมาส 4/59 จะเติบโตถึง 1245% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และพลิกกลับมาจากขาดทุนในงวดไตรมาส 4/58

 

ด้านบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ลงทุนใน 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจอื่นๆ โดยมองว่าปีนี้จะเป็นหุ้นที่น่ากลับมาทำกำไรได้เช่นกัน

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ น่าจะทำให้ความต้องการใช้เรือเทกองขนส่งสินค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่หลังเทศกาลตรุษจีนเป็นต้นไป นอกจากนี้ 1Q60 เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในออสเตรเลียและอาร์เจนตินาใน 1Q60 ช่วยหนุนความต้องการเรือเทกองดังกล่าว

ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ TTA ([email protected]) ที่มีความโดดเด่นสุดในกลุ่มเดินเรือ จากการกระจายรายได้หลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจ บ.ย่อย เมอร์เมด (ถือหุ้น 57%) ซึ่งทำธุรกิจเรือขุดเจาะน้ำมันและเรือวิศวกรรมสำรวจใต้ทะเล ซึ่งคาดจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมัน ดิบในตลาดโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ธุรกิจ UMS (ถือหุ้น 48.46%)  ได้รับผลบวกจากราคาถ่านหินฟื้นตัว และธุรกิจเรือเทกองมีแนวโน้มฟื้นตันดีขึ้นเป็นลำดับ จึงคาด TTA จะพลิกฟื้นกลับมามีกำไรในปี 2560 ได้ 

 

ส่วนบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เป็นหุ้นที่นับจับตาเช่นกัน บริษัทประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 59/60 (สิ้นสุดธ.ค.59) มีกำไรสุทธิ 229.03 ล้านบาท จากที่ขาดทุนสุทธิ 34.95 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ”ซื้อ” TSTH ให้ราคาเป้าหมาย 1.41 บาท/หุ้น รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 59/60 (ต.ค.-ธ.ค. 59) พลิกมามีกำไร เหนือความคาดหมายมาก  ทำให้มีการปรับประมาณการปี 59/60 เพิ่มขึ้น และ Fair Value ขึ้นจากเดิม ขณะเดียวกันยังมีฐานะการเงินที่ใกล้จะปลอดภาระหนี้ ทำให้ TSTH มีโอกาสจะกลับมาจ่ายเงินปันผล หากนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ 3.26 พันล้านบาท มาล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ทั้งหมด 2.95 พันล้านบาท ซึ่งจะถือว่าเป็นการกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้งในรอบ 10 ปี

 

ส่วนบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD บริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ (In-land Logistics) อย่างครบวงจร

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า JWD ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในปี 2559 และคาด Turnaround มีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาทในปี 2560 จากหลายปัจจัยบวกคือ

1) การรับรู้รายได้จากคลังสินค้าเคมีใหม่ (JCS) และศูนย์รวมสินค้า (LCL) เข้ามามากขึ้น 2) Throughput ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตรายที่เติบโตต่อเนื่อง โดยยังเห็นโมเมนตัมที่ดีในไตรมาส 1/60

3) การเติบโตของธุรกิจบริหารรถยนต์ตามกลยุทธ์เชิงรุกรับงาน on-site มากขึ้น รวมถึงโอกาสต่อยอดเข้าไปบริหารชิ้นส่วนยานยนต์ หลังจัดตั้ง JV กับสยามกลการ และ 4) ถึงแม้ EU จะยังคงสถานะใบเหลืองกรณี IUU Fishing แต่พัฒนาการเชิงบวกของรัฐบาลที่พยายามแก้ไขปัญหา จะทำให้ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และส่งผลให้การเก็บสต็อกปลาของห้องเย็นฟื้นตัวได้ แนะนำ”ซื้อ”ประเมิน FV ปี 2560 อิง DCF (WACC 7.5%) ที่ 11 บาท มี Upside เหลือ 13.4%

 

ส่วนบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT ทำผลงาน 9 เดือนปี 59 มีกำไรสุทธิ 102.17 ล้านบาท จากงปีก่อนขาดทุนสุทธิ 70.14 ล้านบาท

บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SMT Consensus สูงสุด 10.10  บาท  คาดปี 2559 Turnaround พลิกมีกำไรราว 200 ลบ. จากสินค้า Value added (margin สูง) โดยเฉพาะ IC Packaging  / Wafer dicing ที่เติบโตสูงมาก แม้ว่าสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะมียอดขายลดลงมาก (margin ต่ำ) 

เตรียมเซ็นเป็นตัวแทนขาย Solar Panel ให้บริษัทใหญ่ในอเมริกา โดยโรงงานผลิต Solar Panel Generation 3 กำลังการผลิตที่ 40 เมกะวัตต์ (MW) คาดว่าจะเสร็จเดือนต.ค. และเริ่มเดิมเครื่องในเดือนพ.ย. ซึ่งจะรับรู้รายได้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า (ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายขยายได้ถึง 200 MW ) บริษัทเตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มในปี 2560 อีก 30-40% ในกลุ่มสินค้าประเภท high margin เช่น IC Packaging / Wafer dicing

 

ปิดท้ายบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE บริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ธุรกิจไลฟ์สไตล์รีเทลด้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เม่ต์ ภายใต้ของเครื่องหมายการค้า “ดีน แอนด์ เดลูก้า” โดยเป็นเจ้าของสาขาดีน แอนด์ เดลูก้าทั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการมหานคร บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งมีลักษณะผสมผสาน (Mixed use) ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PACE จะ turnaround ชัดเจนในปีนี้ โดยคาดว่าจะพลิกเป็นกำไรเป็นครั้งแรก 891 ล้านบาทหลังยอดโอนคอนโดมหานครเข้ามาจำนวนมากตั้งแต่ไตรมาส 2/60 และโตต่อเนื่อง 50% ในปีหน้าจากโรงแรมและจุดชมวิวที่จะเริ่มให้บริการปลายปีนี้ กำไรดังกล่าวลดลงจากประมาณการเดิมเพราะสัดส่วนการถือหุ้นในโรงแรมและจุดชมวิวที่ลดลงเหลือ 51% และปรับราคาพื้นฐานลงเล็กน้อยเป็น 4.30 บาทจากเดิม 4.50 บาท ราคาหุ้นที่พักฐานทำให้ upside เปิดกว้างขึ้น จึงแนะนำซื้อ

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button