ติดดอยถ้วนหน้า! 10 หุ้น mai ราคาดิ่งเหว 11 เดือนขาดทุนยับเกิน40%

ติดดอยถ้วนหน้า! 10 หุ้น mai ราคาดิ่งเหว 11 เดือนขาดทุนยับเกิน 40% นำโดย TSF,EFORL,KOOL,DCORP,IRCP,UWC, ASN,VTE,UREKA และ AUCT


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในรอบ 11  เดือน โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-30 พ.ย.60 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนลดลงเกิน 40% เป็นหลัก โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 10 ตัว ด้วยกันคือ TSF,EFORL,KOOL,DCORP,IRCP,UWC,ASN,VTE,UREKA และ AUCT อย่างไรก็ตามการนำเสนอหุ้นที่ปรับตัวลงแรงดังกล่าวไม่สามารถนำเสนอข้อมูลหุ้นได้ครบทุกตัว ดังนั้นครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นเพียง 5 อันดับแรกของตารางมาประกอบการลงทุนเท่านั้น

อันดับ 1 บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSF ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา คำแนะนำ และวางแผนด้านการประชาสัมพันธ์รวมทั้งงานด้านสื่อโฆษณาทุกชนิด ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 71.79% มาอยู่ที่ระดับ 0.11 บาท (30 พ.ย.60) ลบ 0.28 บาท จากระดับ 0.39 บาท (30 ธ.ค. 59) โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 11 เดือนที่ผ่าน เนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกและง่ายต่อการดันราคา ดังนั้นเวลาหุ้นขึ้นแรงก็ย่อมมีแรงเทขายออกมาหนักเช่นกัน

ขณะเดียวกันหุ้นรายนี้ไม่มีพื้นฐานรองรับเนื่องจากบริษัทประสบผลขาดทุนนับตั้งแต่ปี 56-ปัจจุบันทำให้การปรับตัวแรงในช่วงที่ผ่านมา จะถูกประกาศจากตลาดหลักทรัพย์(ตลท.)ให้เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : Cash Balance

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าจับตาว่าธุรกิจจะพลิกฟื้นได้หรือไม่ โดยบริษัทเตรียมขยายการลงทุนพัฒนาสื่อโฆษณารูปแบบใหม่ป้ายโฆษณาบริเวณรอบตู้โทรศัพท์สาธารณะทั่วประเทศ เป็นตู้โทรศัพท์สาธารณะนวัตกรรมใหม่ที่ได้สัมปทานจาก บมจ.ทีโอที (ทีโอที) ร่วมกับ บริษัท จี.ไอ.เอส พาร์ค

โดยจะเริ่มในปี 61 และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณกว่า 60 ล้านบาทต่อปีใน 100 จุดแรก และสามารถขายได้ถึง 900 จุด เพื่อเตรียมรองรับสัญญาโฆษณากรุงเทพมหานครที่จะสิ้นสุดในปี 61

 

อันดับ 2 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง  66.67% มาอยู่ที่ระดับ 0.09 บาท (30 พ.ย.60) ลบ 0.18 บาท จากระดับ 0.27 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 11 เดือนที่ผ่าน เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรก่อนหน้าและได้ทยอยขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง หลังหุ้นไม่มีปัจจัยมาสนับสนุนอีกทั้งผลประกอบการไม่สดใสและแผนงานที่ไม่ชัดเจนยิ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาไม่หยุด และนักลงทุนยังรอความชัดเจนประเด็น บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ถูกฟ้องร้องเป็นคดีกรณีบริษัทย่อยผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน และบริษัทถูกฟ้องร้องในฐานะผู้ค้ำประกัน

โดยบริษัทยได้รับคำฟ้องของ บลจ.โซลาริส และหมายเรียกของศาลจังหวัดตลิ่งชัน เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 329/2560 ระหว่างบลจ.โซลาริส โจทก์ บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด จำเลยที่ 1, บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม จำเลยที่ 2 ในข้อหาหรือฐานความผิด ตั๋วเงิน (ตั๋วแลกเงิน), รับสภาพหนี้, ค้ำประกัน, ค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้อง 107,677,739.73 บาท โดยนัดชี้สองสถานและกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์ วันที่ 15 มกราคม 2561 เวลา 9.00 น.

 

อันดับ 3 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “MASTERKOOL” และ “Cooltop” นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงออกแบบและติดตั้งระบบระบายความร้อน และระบบโอโซน

โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรง  60% มาอยู่ที่ระดับ 2.20 บาท (30 พ.ย.60) ลบ 3.30 บาท จากระดับ 5.50 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 11 เดือนที่ผ่าน  เนื่องจากนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรผลประกอบการและแผนงานที่โดดเด่น แต่เมื่อบริษัทประกาศผลการดำเนินงานไม่สดใสทำให้นักลงทุนผิดหวังและเทขายหุ้นอย่างหนัก โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2560 พลิกขาดทุน 44.93 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 97.79 ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DCORP  บริษัทรับจัดหา ผลิต และ/หรือร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งให้บริการจัดการพลังงาน (Energy Saving Service)

โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 58.48% มาอยู่ที่ระดับ 3.82 บาท (30 พ.ย.60) ลบ 5.38 บาท จากระดับ 9.20 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังเรื่องแผนงานที่โดดเด่น และคาดหวังผลการดำเนินงานจะกลับมาทำกำไร แต่หลังจากแผนงานไม่เป็นไปตามเป้า

อีกทั้งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2560 มีผลขาดทุนสุทธิ 92.17 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 0.12 ล้านบาท จึงเป็นสาเหตุให้นักลงทุนผิดหวังและได้ทยอยขายหุ้นออกมาในช่วงดังกล่าว

 

อันดับ 5 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP  ประกอบธุรกิจด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร

โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 56.28% มาอยู่ที่ระดับ 1.74 บาท (30 พ.ย.60) ลบ 2.24 บาท จากระดับ 3.98 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผลการดำเนินงานในปี 59 ขาดทุน หลังจากที่เคยทำกำไรมาตลอด ขณะที่งวด 9 เดือน ปี 2560มีผลขาดทุน 13.25 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 27.89 ล้านบาท จึงเป็นสาเหตุให้นักลงทุนผิดหวังและได้ทยอยขายหุ้นออกมาในช่วงดังกล่าว

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button