เปิด 20 รายชื่อหุ้น SET พุ่งกระฉูดเกิน 100% แถมโกยกำไร Q3 โตสนั่นสวนโควิด-19

เปิด 20 รายชื่อหุ้น SET พุ่งกระฉูดเกิน 100% แถมโกยกำไร Q3 โตสนั่นสวนโควิด-19


ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ในช่วงช่วง 10 เดือนแรกปี 2563 ยังอยู่ในช่วงขาลงโดยเห็นได้จากดัชนียืนที่ระดับ 1579.84  จุด (ณ 30 ธ.ค.62) มาอยู่ที่ระดับ 1194.95 จุด ( 30 ต.ค.61) ลดลง 384.89 จุด หรือลดลง 34.36% โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นมีปัจจัยลบเข้ามากดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ส่งผลให้ตลาดนำมาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ออกมาใช้ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค. และรับผลกระทบอย่างนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ส่วนทิศทางตลาดในดือนตุลาคมที่ผ่านมาส่วนใหญ่อยู่ในโหมด sideways down โดยมีปัจจัยภายนอกกดดันอย่างหนักได้แก่ i) ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลกเร่งตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ทำให้บางประเทศในยุโรปกลับมาใช้มาตรการ lockdown อีกครั้ง ii) ความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ และ iii) ผลการเลือกตั้งสหรัฐส่วนภายในประเทศ ภาวะตลาดถูกกดดันจากการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในกลางเดือนตุลาคม ส่งผลให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทย 10 เดือนที่ผ่านมายังเป็นขาลง

จากภาวะดังกล่าวนักลงทุนยังเทขายหุ้นอย่างหนักเพื่อลดความเสี่ยงในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามมีอีกด้านที่ธุรกิจได้ประโยชน์และราคาหุ้นยังทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจชะลอตัว

โดยทีมข่าว ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET  ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 10 เดือนมานำเสนอเพื่อให้เห็นหุ้นกลุ่มดังกล่าวอย่างชัดเจน  โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นที่ราคาปรับตัวแรงเกิน 100% โดยเทียบข้อมูลราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-30 ต.ค.63

ซึ่งคัดเลือกมาทั้งหมด 20 ตัวได้แก่ STA,AS,DELTA,TRUBB,ASIAN,SPACK,SINGER,APURE,SIS, WIIK,SMT,MONO,ALT,RBF,AJ,WICE,CFRESH,JTS,THRE,ICHI นอกจากนี้หากสังเกตกลุ่มหุ้นดังกล่าวยังพบว่า ได้ประกาศตัวเลขผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 ออกมาโดดเด่น โดยครั้งนี้จะนำขอมูลประกอบ 3 อันดับแรกของกลุ่ม SET ดังตารางประกอบ

อันดับ 1 คือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)  หรือ  STA โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปี 2563 ปรับตัวขึ้น 257.50% จากระดับ 10.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 35.75 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค.63

ทั้งนี้ราคาหุ้นทะยานแรงเป็นผลมาจากแนวโน้มธุรกิจได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจที่ผลิตถุงมือยางได้ประโยชน์( โดยเฉพาะบริษัทลูก STGT ซึ่งดำเนินธุรกิจถุงมือยาง) อีกทั้งราคายางฟื้นตัวเด่นเป็นบวกต่อธุรกิจ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์มองว่ากำไรปีนี้และปีหน้าจะเติบโตเด่น และออกมาปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้ารวมทั้งราคาเป้าหมายทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นในช่วงดังกล่าว

บล.เคทีบี ระบุว่า STA คงคำแนะนำซื้อ และราคาเป้าหมาย 41.00 บาท อิง 2020 E PER ที่ 9x เทียบเท่า (-0.5SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) ปรับ derate ลดลงจากเดิมที่ 14x (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) สะท้อนความกังวลเรื่องการมีโอกาสค้นพบวัคซีนโควิด   STA รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส3/2563 ที่ 2.08 พันล้านบาท  โต 1443% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, และโต 91% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ใกล้กับตลาดคาด การเพิ่มขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการเพิ่มขึ้นเทียบไตรมาสก่อนหน้ามาจากอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น จากราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปรับตัวเพิ่มขึ้นและราคายางดีจากผู้ประกอบการล้อยางรถยนต์กลับมาเดินการผลิตได้มากขึ้นประมาณ 70-80% หลัง COVID-19 ผ่อนคลาย

ปรับกำไรสุทธิของ STA ในปี 2563 ขึ้น 51% อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุน -149 ล้านบาทใน 2019) จากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นเป็น 17% จากเดิม 14% และปรับกำไรสุทธิปี 2021E ขึ้น 112% อยู่ที่ 10 พันล้านบาท (+46% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 19% จากเดิม 13.4%

ราคาหุ้น outperform SET +5%/+67% ใน 3 และ 6 เดือน จากกำไรที่โตดี อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวลงและ underperform SET -17% ใน 1 เดือนที่ผ่านมาจากความกังวลเรื่องวัคซีนCOVID-19 โดยยังแนะนำ ซื้อ  ปัจจุบัน STA เทรดที่ 2020E PER ที่เพียง 6x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 14x โดยมี key catalyst คือ ความต้องการถุงมือยางที่ดีต่อเนื่องเพื่อป้องกัน COVID-19 ที่ยังมีผลกระทบในต่างประเทศ และการฟื้นตัวต่อเนื่องของลูกค้ายางธรรมชาติ

 

ส่วนอันดับ 2 บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AS โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปี 2563 ปรับตัวขึ้น 255.56% จากระดับ 1.26 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 4.48 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค.63 โดยนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทคาดออกมาโดดเด่นเนื่องจากธุรกิจเกมได้ประโยชน์ในช่วงโควิด-9 ระบาดหนัก

โดยล่าสุดบริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/63 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2563 มีกำไรสุทธิ 103.32 ล้านบาท โต 183.28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 36.47 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการจำนวน 366.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทแจ้ง่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 13 พ.ย. อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนโดยตัดหุ้นที่ยังไม่ได้นำออกจำหน่าย หลังจากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 276.63 ล้านบาท จากเดิม 235.19 ล้านบาท

โดยออกหุ้นใหม่ 82.9 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ครั้งที่ 2 หรือ  AS-W2  ที่บริษัทจะออกและจัดสรรไม่เกิน 82.9 ล้านหน่วย ให้ฟรีแก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วย อายุ 3 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 3.50 บาท

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ดังกล่าว ไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะอย่างอย่างยิ่งการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการปฏิบัติงาน และการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต

พร้อมกันนี้ยังอนุมัติเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผล จากเดิมไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิของแต่ละบริษัท (ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท) หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำรองตามกฎหมาย และสำรองอื่น ๆ ที่จำเป็นและเหมาะสมเป็น ไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของแต่ละบริษัท (ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท) หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำรองตามกฎหมาย และสำรองอื่น ๆ ที่จำเป็นและเหมาะสม

 

อันดับ 3 บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA  โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปี 2563 ปรับตัวขึ้น 234.58% จากระดับ 53.50 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 179.00 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค.63  เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทสดใส โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ของเพาเวอร์ซัพพลาย (สำหรับ Cloud, PC และชิ้นส่วนต่างๆ) และการดำเนินงานของรถยนต์ EV ที่จะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป โดยโบรกฯได้ปรับประมาณการปี 2563-64 ขึ้น 15-17% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรที่ดีขึ้น

ล่าสุดไตรมาส 3/2563  มีกำไรสุทธิ 2,642.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 618.39 ล้านบาท  เนื่องจากยอดขายสินค้าและบริการอยู่ที่ 17,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 21 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล Cloud (Cloud Storage) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์โซลูชั่น สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน (CIS) และเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย อีกทั้งการเติบโตอย่างโดดเด่นของโซลูชั่นรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีหลัง

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button