เปิดโผ 12 หุ้นเด่น รับประโยชน์คลายล็อกดาวน์ หลังโควิดซา

เปิดโผ 12 หุ้นเด่น รับประโยชน์คลายล็อกดาวน์ หลังโควิดซา


สืบเนื่องจากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ในพื้นที่สำคัญอย่างกรุงเทพมหานคร ผ่อนปรนสถานที่ 13 ประเภทกลับเปิดบริการได้ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

รวมถึงจังหวัดที่เคยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูง อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ อนุญาตให้สถานประกอบการร้านอาหาร สามารถจำหน่ายและให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ถึง 4 ทุ่ม ส่วนตลาดนัด และถนนคนเดิน กลับมาเปิด ทำการค้ากันได้ตามปกติ  ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2564

บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศที่ลดลง หนุนให้ภาครัฐเริ่มเดินหน้าผ่อนคลายการมาตรการควบคุมโรค

โดยวานนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ผ่อนปรนสถานที่13  ประเภทกลับเปิดได้ ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.2564 เป็นต้นไป เช่น ร้านเกม-อินเทอร์เน็ต, สถาน ดูแลผู้สูงอายุ, สนามแข่งขัน (ยกเว้นสนามมวย สนามม้า) สถานที่จัดเลี้ยงที่มีคนไม่เกิน 300 คน, สนามพระเครื่อง, สถานเสริมความงาม, สถานออกกำลังกาย (ฟิสเนส), สถาน ประกอบการนวด-สปา เป็นต้น

ทั้งนี้ บล.เอเชีย พลัส มองว่า การผ่อนคลายการมาตรการควบคุมโรคของ กทม. จะช่วยกระตุ้นให้จังหวัดอื่นๆ เริ่มพิจารณาเดินหน้าผ่อนคลายตามมา เช่น กาญจนบุรีเริ่มผ่อนคลายการปิดโรงแรมและรีสอร์ท, สมุทรสาครจะพิจารณาเปิดตลาดกลางกุ้งในวันที่ 26 ม.ค. 2564, ตราดพิจารณาผ่อนคลายในวันที่ 31 ม.ค. 2564 เป็นต้น ภายหลังจากนี้ ตลาดให้น้ำหนักต่อการพิจารณาผ่อนคลายสถานที่ที่ยังถูกสั่งปิด เช่น สถานบันเทิง, สนามมวย, สถานศึกษา เป็นต้น ซึ่งต้องในน้ำหนักต่อไปว่า สถานที่เหล่านี้จะกลับมาเปิดตามปกติได้รวดเร็วเพียงใด โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วงสัปดาห์หน้า-ปลายเดือน ม.ค. 2564 เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดการผ่อนคลายสถานที่ในระยะต่อไป

โดย บล.เอเชีย พลัส ประเมินในภาพรวมว่า การผ่อนคลายสถานที่ต่างๆ เป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งการจับจ่ายใช้สอย, การค้าและการเดินทาง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรองค้นหา หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ได้ Sentiment เชิงบวกในธีม “เปิดเมือง Play” ผ่านหุ้นใน 5 Sector หลักดังนี้

  1. กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ดีขึ้นทั้งในมุมความต้องการใช้สินเชื่อ รวมถึงลดคามเสี่ยงของการเกิด NPL แนะนำ “ซื้อ” TISCO ราคาเป้าหมาย 102 บาท, KBANK ราคาเป้าหมาย 126 บาท
  2. กลุ่มมีเดีย โดยเฉพาะสื่อนอกบ้าน รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แนะนำ “ซื้อ” PLANB ราคาเป้าหมาย 7.50 บาท
  3. กลุ่มอุปโภคบริโภค การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น บวกกับยังได้แรงหนุนจากมาตรการภาครัฐที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง อาทิ คนละครึ่ง, เราชนะ เป็นต้น จึงแนะนำ “ซื้อ” OSP ราคาเป้าหมาย 41 บาท, RS ราคาเป้าหมาย 26 บาท, CRC ราคาเป้าหมาย 38 บาท และ M ราคาเป้าหมาย 61 บาท
  4. กลุ่มโรงพยาบาล ได้ Sentiment บวกจากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงยังได้กระแสการฉีดวัคซีนหนุนอีกแรง แนะนำ “ซื้อ” BDMS ราคาเป้าหมาย 24 บาท, BCH ราคาเป้าหมาย 19 บาท และ PR9 ราคาเป้าหมาย 11 บาท
  5. กลุ่มขนส่ง ปริมาณการใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าที่น่าจะทยอยเพิ่มขึ้นตามลำดับ แนะนำ “ซื้อ” BEM ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท, BTS ราคาเป้าหมาย 12.80 บาท

Back to top button