ดักเก็บ NOBLE ลุ้นกำไรปี 63 แตะ 1.8 พันลบ. พ่วงปันผล 0.44 บ. ยีลด์สูง 6%

ดักเก็บ NOBLE ลุ้นกำไรปี 63 แตะ 1.8 พันลบ. พ่วงปันผล 0.44 บ. ยีลด์สูง 6%


บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำหุ้น บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE โดยมองว่าในปี 64 บริษัทยังเดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดโครงการในปี 64 จำนวน 11 โครงการ มูลค่ารวม 45,100 ล้านบาท

แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม High Rise จำนวน 4 โครงการ และเป็นโครงการแนวราบ (รวมคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น) จำนวน 7 โครงการ ซึ่งโครงการที่เปิดในปี 64 จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ได้ภายในไตรมาส 1/65 เป็นต้นไป

ขณะที่รายได้ในปี 64 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 11,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 63 แต่คาดว่าส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นหลังโครงการที่จะโอนมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ซึ่งประเมินไว้ที่ 39.6% โดย ณ ปัจจุบันมี Backlog ที่จะรับรู้รายได้ในปี 64 แล้ว 5,180 ล้านบาท Secured เป้ารายได้ที่ เราประมาณการไว้แล้ว 48%

นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะได้อานิสงส์หากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายจนนำไปสู่การเปิดประเทศ คาดว่าจะเห็น Pent Up Demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทมีความชำนาญในการขาย ส่งผลให้เราประเมินว่าปี 64 บริษัทจะยังมี การเติบโตในส่วนของกำไรสุทธิอยู่ที่ 2% เทียบกับช่วงปีก่อน

พร้อมกันนี้ ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการรายได้รวมปี 64 ขึ้น 6% เป็น 10,733 ล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงการรับรู้รายได้ จากการโอนที่แข็งแกร่ง ประกอบกับแผนการขาย Commercial Property (Noble Remix มูลค่าราว 1,100 ล้านบาท) รวมทั้งโครงการที่มีแผนโอนในปี 64 มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 40% ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยปี 64 จะอยู่ที่ 39.3% (เดิม 38.6%) ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 64 จะอยู่ที่ 1,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 12% คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ที่ 611 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน

อีกทั้งคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิสำหรับงวดไตรมาส 4/63 ที่ 611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปีก่อน และ 17% จากไตรมาสก่อน โดยหลักที่กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นหนุนจาก (1) ยอดรายได้รวมที่ปรับตัวสูงขึ้น 15% จากปีก่อน เป็น 3,276 ล้านบาท หนุนจากการโอน 3 โครงการที่แล้วเสร็จใหม่

ประกอบด้วย Noble Around สุขุมวิท 33, Nue แจ้งวัฒนะ และ Noble BE19 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากการโอน 3 โครงการ ดังกล่าวราว 2,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากการระบายสต็อกโครงการที่มีอยู่ อาทิ Noble เพลินจิต ประกอบกับรายได้จากการขายที่ดินที่ญี่ปุ่นราว 210 ล้านบาท และ (2) อัตรากำไรขั้นต้น ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 40.5% เทียบกับ 33.9% ในไตรมาส 4/62 หลังโครงการที่แล้วเสร็จใหม่และมีการ โอนในไตรมาส 4/63 มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงระดับ 40%

ทั้งนี้ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 63 ของบริษัทจะอยู่ที่ 1,849 ล้านบาท แม้ลดลง 40% จากปีก่อน เนื่องจากปี 62 มีการรับรู้กำไรจากการขายที่ดิน แต่ดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า 19%

อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทสำหรับงวดไตรมาส 4/63 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน ส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิปี 63 ดีกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า ทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น 12% เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และยังคาดว่าจะได้ประโยชน์หากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งคาดว่าจะเห็น Pent Up Demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งบริษัทมีความเป็นผู้นำในตลาดดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทยังมีอัตราเงินปันผลใน ระดับที่สูง 8-10% โดยคาดว่าเงินปันผลสำหรับครึ่งหลังปี 63 จะอยู่ที่ 0.44 บาท ต่อหุ้น (Div.Yld. 5.8%) ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 9.90 บาท อิง PER 7.2 เท่า และเลือก เป็น Top Picks สำหรับกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

Back to top button