หุ้นไก่ตีปีก! ปี 2563 กำไรแกร่งสวนภาวะศก. TFG เด่นสุดโต 78%

หุ้นไก่ตีปีก! ปี 2563 กำไรแกร่งสวนภาวะศก. TFG เด่นสุดโต 78%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตไก่และจำหน่ายไก่สด แช่เย็นและแช่แข็งและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไก่ ผลิตและจำหน่ายสุกร และผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ที่ประกาศผลการดำเนินงานออกมาค่อนข้างดี สามารถทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้เป็นอย่างดี โดยนำเสนอทั้ง 3 บจ. ดังนี้

บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG รายงานผลการดำเนินงานในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 2,563.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,123.29 ล้านบาท หรือ 78.01% สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เทียบปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,440.00 ล้านบาท

โดยได้รับปัจจัยหนุนจากราคาขายสุกรดี และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ตามแผนการขยายการลงทุน ขณะที่ตลาดส่งออกยังคงดีต่อเนื่อง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย  โดยในปี 2563 มีรายได้รวม 31,857.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.45% จาก 29,105.51 ล้านบาท ในปี 2563 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น จากรายได้ธุรกิจสุกร และธุรกิจอาหารสัตว์

พร้อมกันนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.055 บาท/หุ้น และแจกวอร์แรนต์ (TFG-W3) ฟรีให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 10 หุ้นสามัญต่อ 1 หน่วย มีอายุ 3 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วย ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิ 5.50 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 มีนาคม 2564 และ XW วันที่ 29 เมษายน 2564

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานกำไรสุทธิประจำปี 2563 จำนวน 26,022 ล้านบาท เติบโต 41% จากปีก่อน 18,456 ล้านบาท โดย ปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการกระบวนการผลิตด้วยมาตรฐานสูงสุดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมทั้งการใช้ระบบ AI มาเสริมการทำงานให้มีผลดีที่สุดกว่าในอุตสาหกรรม ทำให้แม้ในภาวะวิกฤตโรคระบาดทั้งโควิด-19 และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) บริษัทยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

พร้อมกันนี้บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท (ได้มีการจ่ายครั้งแรกเป็นเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563)

บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT รายงานผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 1,351 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 13.07% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,195 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2563 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2563 โดยอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.20 บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 8 มี.ค. 2564 วันที่จ่ายปันผล 29 เม.ย. 2564

ขณะที่ ฝ่ายวิจัยกรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าปริมาณการผลิตไก่แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูปในปี 2564-2566 มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3-5% ต่อปี ตามกำลังซื้อที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคเนื้อไก่ในประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเนื้อไก่มีไขมันต่ำและราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่น

ขณะที่การส่งออกเนื้อไก่จะเติบโตจากตลาดที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง เช่น ญี่ปุ่นและจีน เมื่อผนวกกับความเชื่อมั่นของต่างประเทศต่อมาตรฐานการผลิตสินค้าไก่ของไทย ตลอดจนความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยและประเทศคู่ค้า ซึ่งมีส่วนเอื้อให้ไทยสร้างความได้เปรียบและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนการผลิต (ราคาไก่เนื้อ) ที่ผันผวนตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งซึ่งอาจมีผลให้อัตรากำไรของอุตสาหกรรมชะลอลงบ้างแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

ด้าน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็นมียอดการส่งออกเพิ่มขึ้น 9.2% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยตลาดการส่งออกไปยังประเทศจีนมีการเติบโตสูงสุดที่ 20.4% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการที่จีนเปิดตลาดนำเข้าให้กับไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเมื่อเดือนเม.ย.2561

สำหรับแนวโน้มปี 2564-2565 อุตสาหกรรมฟาร์มสัตว์ปีกจะมีแนวโน้มเติบโต 3.5-4.0% จากอุปสงค์การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง และตลาดส่งออกที่เติบโตขึ้นในประเทศจีน อย่างไรก็ตามตลาดส่งออกสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ญี่ปุ่นสหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์จะมีแนวโน้มชะลอตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจ

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

 

Back to top button