ITC แย้ม “ขนมสัตว์เลี้ยง” ยอดขายพุ่ง! ตลาดอาหารสุนัข–แมวโตเฉลี่ย 3–4% ต่อปี

ITC เผยไตรมาส 3/68 รายได้แตะ 4.44 พันล้านบาท รับอานิสงส์ตลาดสหรัฐฯ หนุนเติบโต–ยุโรปเริ่มฟื้น มั่นใจตลาดอาหารสุนัข–แมวเติบโตเฉลี่ย 3–4% ต่อปีจนถึง 2573 ขณะที่คาด Q4/68 ปริมาณขายและยอดขายดอลลาร์เติบโตต่อเนื่อง ส่วนปี 69 มุ่งต่อยอดนวัตกรรมสินค้า ตลาดสหรัฐฯ–ยุโรป พร้อมบริหารต้นทุนเข้ม คาดรายได้ดอลลาร์ขยาย 5–9%


นายรอย ชาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 บริษัทมีรายได้รวม 4,721.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.44% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,435.67 ล้านบาท

การเติบโตเกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าพรีเมียมจากลูกค้าหลักในสหรัฐอเมริกาและบริษัทอาหารสัตว์ชั้นนำระดับโลก ขณะที่ตลาดยุโรปยังเติบโตตามแผน ส่งผลให้กำไรสุทธิ อยู่ที่ 812.10 ล้านบาท ลดลง 16.81% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 976.22 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีรายได้รวม 13,443.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.16% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 13,031.28 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,184.93 ล้านบาท ลดลง 22.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,806.81 ล้านบาท

นายรอย กล่าวอีกว่า ปริมาณขาย (Volume) ของบริษัทเติบโต 11% โดยยอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐขยายตัวต่อเนื่อง แต่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้รายได้รวมเติบโตเพียง 3.2% ตลาดสหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต ขณะที่ตลาดยุโรปเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนตลาดเอเชียและโอเชียเนียทยอยฟื้นตัว

ทั้งนี้ ตลาดอาหารสำหรับสุนัขและแมวยังคงมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 3–4% จนถึงปี 2573 โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมสัตว์เลี้ยง (Pet Treats) ซึ่งอยู่ในหมวดสินค้าพรีเมียมและมีโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม จากการเข้าร่วมงาน SUPERZOO 2024 ณ เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา พบว่า กลุ่มสินค้าดังกล่าวได้รับความนิยมสูง โดยยอดขายในไตรมาสนี้คิดเป็น 17.5% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากระดับ 11–13% ในช่วง 2 ปีก่อน บริษัทเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ (MPD) ที่เปิดตัวในไตรมาส 3 จะสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนลงทุนระยะ 2–3 ปีข้างหน้า นายรอย ระบุว่า กำลังการผลิตปัจจุบันเพียงพอต่อความต้องการ จึงยังไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติม แต่บริษัทยังคงพิจารณาโอกาสลงทุนใหม่ที่สร้างคุณค่าในระยะยาว โดยเฉพาะการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพื่อต่อยอดการเติบโตและเสริมศักยภาพธุรกิจ

นายรอย กล่าวถึงแนวโน้มไตรมาส 4/2568 ว่า ปริมาณขายและยอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเติบโตต่อเนื่อง คาดผลการดำเนินงานใกล้เคียงสามไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายได้ในสกุลเงินบาทอาจได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับปี 2569 บริษัทจะเดินหน้าต่อยอดสิ่งที่ดำเนินการอยู่ โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมสินค้า (Innovation Product) ควบคู่กับการรุกตลาดสหรัฐฯ ซึ่งยังคงเป็นตลาดหลัก แม้มีปัจจัยด้านภาษีนำเข้า ขณะที่ตลาดยุโรปทยอยฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย โดยคาดว่ารายได้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐจะเติบโตในระดับ mid- to high single digit หรือราว 5–9%

Company Snapshot

Back to top button