จับตา 4 หุ้นร้อน ราคาติดจรวดทะยานเกิน 50%

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเกิน 50% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 29 เม.ย.59 พบว่ามีหุ้นที่น่าสนใจอยู่ 4 บจ. ดังนี้


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเกิน 50% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 29 เม.ย.59 พบว่ามีหุ้นที่น่าสนใจอยู่ 4 บจ. ดังนี้

ตารางหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นเกิน 50% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559

UP20160516

 

อันดับ 1 บริษัท คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG ผู้จำหน่ายกล้อง อุปกรณ์ถ่ายภาพ มือถือและอุปกรณ์ โดยราคาช่วง 4 เดือนแรกปรับขึ้น 93% ขณะที่บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 234.21 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 2.86 โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกกำไรเนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ถ่ายภาพเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีกำไรจากการคืนทุนของบริษัทย่อยสองแห่งของบริษัทจำนวน 19 ล้านบาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำซื้อ BIG โดยมองว่ามองปีนี้เป็นปีทอง ให้ราคาเป้าหมาย 4.00 บาท จาก 1) ตลาดกล้อง Mirrorless ยังขยายตัวแรงเป็นระดับ 100% จากงวดปีก่อน 2) BIG อยู่ในสถานะกึ่งผูกขาดชั่วคราว จากคู่แข่งที่ลดลงและจำนวนสาขาที่มากสุดในประเทศ ส่งผลให้ยอดรีเบทและอัตรากำไรขยายตัวขึ้น 3) ปรับกลยุทธ์อุดตัวถ่วงทั้งกล้อง DSLR ที่ขายน้อยลงเพราะอัตรากำไรต่ำและร้าน BIG Mobile ที่จะพลิกมามีกำไรในครึ่งหลังปี 59 จากการเปิดพื้นที่บางส่วนให้ผู้ประกอบการมือถือ และ 4) ธุรกิจพิมพ์ภาพดิจิตอลจะเข้ามาเติมเต็มให้ธุรกิจขายกล้องเดิมมีความครบวงจรมากขึ้น

 

อันดับที่ 2 บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH ซึ่งมีลักษณะธุรกิจการลงทุน (Holding company) ในบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล็กเส้น, เหล็กลวด และเหล็กรูปพรรณขนาดเล็ก ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยราคาช่วง 4 เดือนแรกปรับขึ้น 59%

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า จากราคาเหล็กที่ฟื้นตัวหนุน Spread และ Margin ให้สูงผิดปกติ ส่งผลให้ TSTH พลิกทำกำไรได้ในไตรมาส 1/59 จากปัจจัยทิศทางราคาขายเหล็กเส้นที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และ Supply ในประเทศตึงตัวระยะสั้น ขณะที่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามการเร่งสั่งซื้อ ทำให้แนวโน้มกำไรปี 59 จะเพิ่มขึ้น 31% ทำให้ระยะยาวอาจสามารถกลับมาจ่ายปันผลได้

ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า เหล็กเส้นในเดือน พ.ค. จะยังมีแนวโน้มจะขาดตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาเหล็กจะยังอยู่ในระดับสูง จากประมาณการที่ปรับขึ้นจะได้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 0.85 บาท จากเดิม 0.75 บาท อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มมีอัพไซด์ จึงปรับคำแนะนำเป็นถือ

 

อันดับที่ 3 บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI สายการบินแห่งชาติที่ดำเนินธุรกิจกิจการการบินพาณิชย์ทั้งเส้นทางบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ โดยธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสายการบิน และกลุ่มกิจการสนับสนุนการบินและการขนส่ง โดยราคาช่วง 4 เดือนแรกปรับขึ้น 57%

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) แนะนำซื้อ THAI โดยคาดว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังปี 58 บริษัทได้ทำการปฏิรูปองกรค์ค่าใช้จ่ายในการลดพนักงานไปกว่า 4.6 พันล้านบาท และบันทึกด้อยค่าทรัพย์สินไปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 59 ยังได้รับผลบวกจากการท่องเที่ยวที่ยังแรงต่อเนื่องประกอบกับการรับรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่ต่ำเต็มที่เมื่อเทียบกับปี 58 ที่ทำประกันราคาน้ำมันในระดับสูงที่ 80-90 เหรียญ/บาเรลล์ ทำให้ปัจจัยลบของ THAI เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

ส่วนกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมรับแอร์เอเชียมาเลเซียเข้าลงทุนในไทย หลังผู้บริหารยกเป็นเกตเวย์ของอาเซียน และมีความสนใจขอร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ THAI มองว่าจะสร้างประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่าย ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนลงทุนตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบินระดับภูมิภาคอาเซียน พร้อมรับพิจารณาหากมีผู้สนใจร่วมลงทุน

 

อันดับที่ 4 บริษัท ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ผู้ประกอบธุรกิจในการลงทุนถือหุ้นในกิจการอื่น (Holding Company) โดยได้ลงทุนในธุรกิจหลัก 2 ธุรกิจ คือ 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนโดยเฉพาะการลงทุนและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าฟาร์ม)  2) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยราคาช่วง 4 เดือนแรกปรับขึ้น 57%

กลายเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างร้อนแรงจากเรื่องการจ่ายไฟเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหุ้นพลังงานทางเลือกที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดในระบบเวลานี้ จึงเหมาะสมแก่การเก็งกำไรระยะสั้น ขณะที่ระยะกลางและยาว ยังต้องดูในเรื่องของความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้อาจมีประเด็นบางอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นแกว่งตัวอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนต้องตัดขายหุ้นออกไปก่อนเวลาอันควร ซึ่งจุดนี้เป็นความเสี่ยงที่ตัวนักลงทุนต้องเข้าใจ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในไตรมาส 2/59 บริษัทจะกลับมาทำกำไรอย่างโดดเด่น หลังจากจ่ายไฟเข้าระบบพาณิชย์ได้มากถึง 621 เมกกะวัตต์

ขณะที่ล่าสุด บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 17.64 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 33.63 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกมีกำไร เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อยได้เริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 269.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 550% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่ 41.38 ล้านบาท

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

X
Back to top button