
จับตา ครม. เคาะ “กู้เงินบริหารหนี้-ปลดล็อกสุรา-เที่ยวไทยคนละครึ่ง” กระตุ้นเศรษฐกิจ
ครม. เตรียมเคาะใหญ่! ไฟเขียวกู้เงินบริหารหนี้สาธารณะ-ปลดล็อกสุรา สอดคล้องกับแนวนโยบาย “Soft Power” พร้อมจับตาโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 วงเงิน 3.5 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (13 พ.ค.68) ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาหลายวาระสำคัญที่สะท้อนทิศทางการขับเคลื่อนประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจภายในและบทบาทระหว่างประเทศ
ในด้านเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง เสนอขออนุมัติวิธีการกู้เงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ พร้อมเสนอร่างกฎกระทรวงการผลิตสุราฉบับใหม่ เปิดทางให้ผู้ผลิตรายเล็กและรายกลางสามารถเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น เป็นการปลดล็อกภาคการผลิตที่เคยถูกจำกัดมายาวนาน หวังต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สอดคล้องกับแนวนโยบาย “Soft Power” ที่รัฐบาลต้องการผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอขอความเห็นชอบงบประมาณเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB Women’s World Championship 2025 ซึ่งหากได้รับสิทธิ์จะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพรายการระดับโลกนี้
อีกหนึ่งมาตรการที่ถูกจับตาคือ โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” วงเงิน 3,500 ล้านบาท ซึ่งจะกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงโลว์ซีซั่น โดยเฉพาะวันธรรมดา เริ่มดำเนินการเดือนมิถุนายน 2568 ผ่านการใช้จ่ายบนแอปพลิเคชัน “ทักทาย” ที่รัฐบาลเตรียมเปิดใช้อย่างเป็นทางการ
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ครม. พิจารณาการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) และความร่วมมือกับนานาประเทศหลายฉบับ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ไทย–เวียดนาม เห็นชอบร่าง MOU ฉบับใหม่ด้านเศรษฐกิจและการค้า ยกระดับสู่ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน ไทย–เซอร์เบีย / ไทย–จอร์แดน เห็นชอบจัดตั้งกลไกการหารือทางการเมืองในระดับทวิภาค ไทย–อินโดนีเซีย / ไทย–มัลดีฟส์ เดินหน้า MOU ด้านสาธารณสุข
พร้อมกันนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังเสนอร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีศึกษา APEC ครั้งที่ 7 ซึ่งไทยจะมีบทบาทสำคัญในการหารือเชิงนโยบายระดับภูมิภาค
การประชุม ครม. วันนี้ สะท้อนภาพการเร่งเครื่องนโยบายเศรษฐกิจในระดับโครงสร้าง ควบคู่กับการใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและการทูต พร้อมขยับบทบาทของไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลก ผ่านความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคีอย่างต่อเนื่อง