ปิดฉาก! ประชุม JBC จับมือทำแผนที่พิพาท “ไทย-กัมพูชา” ลดความตึงเครียดชายแดน?

รูดม่านเวที JBC ครั้งที่ 6 ปิดฉากอย่างฉันมิตร “ไทย–กัมพูชา” เดินหน้าทำแผนที่เขตแดน 800 กิโลเมตร แต่ยังไม่พักศึก หลังผู้นำกัมพูชา ประกาศยื่นศาลโลกวันเดียวกัน ขณะที่ “สมช.” ไทยเรียกประชุมด่วนรับมือมาตรการเลิกซื้อไฟ–เน็ต


การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ปิดฉากลงแล้วเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ท่ามกลางบรรยากาศชายแดนที่ตึงเครียด หลังเหตุปะทะเมื่อ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

พิธีปิดจัดขึ้นโดยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธาน JBC ฝ่ายไทย ร่วมกับนายฬำ เจีย (Lam Chea) รัฐมนตรีด้านกิจการชายแดนและหัวหน้าเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกการประชุมร่วมกัน ณ กรุงพนมเปญ

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) โดยกรมสารนิเทศ แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า จะยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับผลการประชุม JBC ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน โดยจะรอให้คณะผู้แทนไทยเดินทางกลับถึงประเทศไทยในคืนวันเดียวกัน ก่อนจัดแถลงข่าวร่วมกับ ประธาน JBC ฝ่ายไทย ในวันพรุ่งนี้ (16 มิ.ย.68) โดยจะประกาศเวลาการแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง

ประชุม JBC ครั้งที่ 6 ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 15 มิ.ย.68 / ภาพ กระทรวงการต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม กต. ได้เปิดเผยเบื้องต้นหลังการประชุมว่า “การหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายกล่าวขอบคุณที่การประชุมสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเน้นย้ำความสำคัญและประสิทธิภาพของ JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ”

“การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน”

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีภารกิจที่ต้องหารือและดำเนินการร่วมกันต่อไป โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้

กระทรวงการต่างประเทศของไทย เน้นย้ำว่า ปัจจุบันไทยกับกัมพูชามีกลไกความร่วมมือในประเด็นชายแดนร่วมกัน 3 ระดับหลัก ได้แก่

  1. JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
  2. คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีระดับสูงด้านความมั่นคง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยกับกัมพูชาเป็นประธานร่วม เพื่อหารือในการกำหนดแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ
  3. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งเป็นกลไกระดับทวิภาคีของฝ่ายทหาร เพื่อหารือในระดับพื้นที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ การพัฒนา ตลอดจนการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นบริเวณชายแดนร่วมกัน โดยประธานร่วมเป็นระดับแม่ทัพภาคหรือตำแหน่งที่เทียบเท่า
ประชุม JBC ครั้งที่ 6 ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 15 มิ.ย.68 / ภาพ กระทรวงการต่างประเทศ

ย้อนกลับไปในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า การประชุม JBC ครั้งนี้ แม้เป็นการหารือในเชิงเทคนิค แต่สะท้อนถึงความจริงใจของทั้งสองฝ่ายในการเดินหน้าลดแรงตึงเครียด

ที่สำคัญ โฆษก กต. ย้ำชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่รับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตามจุดยืนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงออกอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่า ไทยยึดแนวทางการแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว เช่น JBC, GBC และ RBC เนื่องจากเชื่อมั่นว่ามีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

หนึ่งในตัวอย่างผลสัมฤทธิ์ของกลไกทวิภาคี คือ โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ ไทย–กัมพูชา (บ้านหนองเอียด–สตึงบท) ที่ดำเนินการเสร็จแล้วและเตรียมเปิดใช้งานในลำดับต่อไป

เดินหน้าคุย–แต่กัมพูชาไม่เบรกศาลโลก

ประชุม JBC ครั้งนี้เป็นสัญญาณบวกในมิติทางเทคนิค แต่ในวันเดียวกัน (15 มิ.ย.68) กัมพูชาภายใต้การนำของ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา กลับเดินหน้าอีกก้าวด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้พิจารณาข้อพิพาท 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แม้กลไก JBC จะเดินหน้าอย่างราบรื่น แต่จะเพียงพอต่อการประคองเสถียรภาพระหว่างไทย–กัมพูชาได้จริงหรือไม่

ขณะเดียวกัน สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ของไทย ได้ออกหนังสือด่วนที่สุด เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันจันทร์ที่ 16 มิ.ย.นี้ เวลา 14:00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือกรณีที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศยุติการซื้อ “กระแสไฟฟ้า” และ “อินเทอร์เน็ต” จากฝั่งไทย

วาระหลักของการประชุม สมช. ได้แก่ รายละเอียดการซื้อ-ขายไฟฟ้าและโทรคมนาคมระหว่างสองประเทศ, แนวทางดำเนินการหลังมาตรการยุติของกัมพูชา, ผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจชายแดน, อุปสรรคทางกฎหมาย และแนวทางการรับมือระยะสั้นและระยะยาว

บริเวณ จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ / ภาพจากสำนักโฆษก ทำเนียบรัฐบาล

นอกจากนี้ วันเดียวกัน (15 มิ.ย.68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า หน่วยทหารในพื้นที่กองกำลังสุรนารี ได้ดำเนินการปรับปรุงเส้นทางในพื้นที่ เนิน 469 และเนิน 745 ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเขตราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน เพื่อสนับสนุนภารกิจลาดตระเวนและส่งกำลังบำรุงตามแนวชายแดน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างปฏิบัติงาน ได้มีทหารกัมพูชาเข้ามาสอบถามและขอให้ไทยชะลอการดำเนินการชั่วคราว เพื่อขอตรวจสอบรายละเอียดเชิงพื้นที่ ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาของทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกัน

“ผลจากการหารือดังกล่าว ทำให้ฝ่ายกัมพูชายอมรับว่า ถนนที่กำลังก่อสร้างอยู่ภายในเขตแดนของประเทศไทยอย่างถูกต้อง จึงสามารถตกลงกันได้ และหน่วยทหารไทยสามารถดำเนินภารกิจต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้” พล.ต.วินธัย กล่าว

โฆษกกองทัพบก ยังย้ำว่า การดำเนินการทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย–กัมพูชา พ.ศ. 2543 ซึ่งฝ่ายไทยถือปฏิบัติมาโดยตลอด และไม่เคยละเมิดข้อตกลงแม้แต่ครั้งเดียว

“ภารกิจในพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงเส้นทางที่ดำเนินการมาแล้วในหลายจุด เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนของกองทัพบก” พล.ต.วินธัย กล่าวเพิ่มเติม และระบุด้วยว่า การหารือกับฝ่ายกัมพูชาได้เสร็จสิ้นลงด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน และฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีเห็นพ้องและยอมรับในข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน

สะท้อนว่า แม้กลไก JBC จะเดินหน้าอย่างฉันมิตรในระดับนโยบาย ความร่วมมือระหว่างทหารทั้งสองประเทศก็ยังดำเนินการด้วยความเข้าใจในพื้นที่จริง แต่ในภาพรวม ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ยังต้องจับตาทุกมิติ ทั้งจากการเจรจาเชิงเทคนิค ไปจนถึงการยื่นศาลโลกของกัมพูชา และมาตรการด้านพลังงานและเทคโนโลยีที่ส่งสัญญาณกดดันใหม่ ๆ

แผนที่ชายแดนอาจเดินต่อได้อย่างมีความหวัง แต่เส้นทางความสัมพันธ์ระดับชาติ ยังต้องอาศัย “ความเข้าใจที่ตรงกัน” อย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ไม่ใช่เพียงบนโต๊ะเจรจาเท่านั้น

Back to top button