“ประศาสน์” ยันไม่เคยรับแผนที่ 1:200,000 “กัมพูชา” เมินนำ 4 พื้นที่พิพาทถกวงหารือ JBC

“ผมเพิ่งเปิดประตูให้การคุยกันได้” ประธานฝ่ายไทย เปิดใจหลังประชุม JBC ครั้งที่ 6 ยืนยันไม่เคยเห็นชอบ แผนที่ 1:200,000 เสียดาย “กัมพูชา” ปฏิเสธคุย 4 จุดพิพาทเอง เผยอดีตเคยมีมาตรการอยู่ร่วมกันได้


วันนี้ (16 มิ.ย.68) นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เปิดเผยว่า ตนเข้าร่วมประชุม JBC มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่สมัยเป็นเลขานุการ ที่ปรึกษา จนกระทั่งดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายไทยในครั้งนี้

“ตามประสบการณ์ของผม การประชุมเมื่อวานถือว่าราบรื่นที่สุดในทั้ง 5 ครั้ง ที่ผ่านมาเคยทะเลาะกันแรงกว่านี้ แต่สุดท้ายก็มักหาทางตกลงร่วมกันได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ทางเทคนิค” นายประศาสน์กล่าว

ทั้งนี้ นายประศาสน์ อธิบายว่า คณะ JBC มีขั้นตอนดำเนินงาน 5 ขั้นตอน แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 คือการสอบหาหลักเขตเดิมที่ปักไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2462-2463) จำนวน 74 หลัก ซึ่งไทย-กัมพูชาเห็นชอบร่วมกันไปแล้ว 45 หลักตั้งแต่ปี 2561 ส่วนอีก 29 หลักยังมีความเห็นต่าง

ระยะที่ 2 คือการจัดทำแผนที่โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ฝ่ายกัมพูชาเสนอให้หาหลักเขตเดิมตามประวัติศาสตร์ ส่วนไทยเสนอให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกับที่เคยปักเขตแดนร่วมกับมาเลเซีย เพื่อให้ได้ภาพเขตแดนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

กระบวนการต่อจากนี้คือ เมื่อจัดทำ Photo Map ได้แล้ว ทั้งสองฝ่ายจะหารือเพื่อสำรวจร่วม หากเห็นต่างกันจะสำรวจสองแนวทาง ก่อนจัดทำ “คู่มือการปฏิบัติงาน” ให้เจ้าหน้าที่ และเมื่อลงความเห็นตรงกัน จึงจัดทำแผนที่ใหม่ร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องอิงกับแผนที่ฝรั่งเศส

สำหรับผลการประชุม JBC เมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.68) ทั้งสองฝ่ายยืนยันความเห็นชอบในหลักเขตแดน 45 จุด และมีมติเห็นชอบแนวทางการใช้เทคโนโลยี LiDAR (Light Detection and Ranging) จากอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เพื่อจัดทำแผนที่ใหม่ แต่ยังติดปัญหาว่าใครจะเป็นผู้ดำเนินการและออกค่าใช้จ่าย

กัมพูชายังเสนอให้สำรวจหลักเขตเพิ่มเติมนอกเหนือจาก 45 หลักที่ตกลงไว้ แต่ฝ่ายไทยเห็นว่า ยังไม่มีคู่มือการทำงานและยังไม่มี Photo Map ประกอบ จึงย้ำว่าควรรอให้มีความพร้อมทั้งด้านเทคนิคและความปลอดภัยในพื้นที่ก่อน เนื่องจากบางพื้นที่มีความเสี่ยงจากกับระเบิด

นายประศาสน์ ได้อธิบายเพิ่มถึงการประชุมที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อนในที่ประชุมกลุ่มเล็ก ซึ่งข่าวที่มีหลุดออกมา คือวาระก่อนการประชุมกลุ่มเล็กของทั้งสองฝ่าย พร้อมย้ำว่า การทำงานของคณะ JBC คือการทำให้เห็นเขตแดนอย่างชัดเจน เช่น ประเทศมาเลเซียที่ใช้เวลานานกว่า 12 ปี กับเขตแดน 556 กิโลเมตร โดยที่ไม่มีปัญหาของการเมืองเข้ามาแทรกแซง ซึ่งกรณีนี้ยังไม่ถึงขั้นตั้งไข่

ผู้สื่อข่าวถามถึงความสับสนเกี่ยวกับ แผนที่ 1:200,000 และ 1:50,000 นายประศาสน์ กล่าวชี้แจงว่า ตามข่าวที่ว่าตนไปเห็นชอบแผนที่ 1:200,000 ยืนยันว่า “ไม่พูดคุยกันเลย” ซึ่งแผนที่ใหม่นี้เป็นการทำร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ไม่มีการเกี่ยวข้องกับทั้ง 2 รูปแบบ โดยตามแผนที่ใหม่ที่จะทำร่วมกันใหม่จะเป็นอาจเป็น 1:50,000 เพราะเป็นแผนที่ทางยุทธการมีความละเอียดมากอยู่แล้ว

“ผมเพิ่งเปิดประตูให้การคุยกันได้ เพราะฉะนั้นเราคุยเทคนิคกันล้วน ๆ เรื่องชวนทะเลาะนี่ไม่เอา ถ้าชวนทะเลาะก็ปิดประตูคุยกัน อัดกันแรงพอสมควร… แต่ผมเจอหนักกว่านี้มาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อวานถือว่า “สมูท” ที่สุดแล้ว อัดกันเบา ๆ ในห้องประชุมอยู่ 2 ชั่วโมง” ประธาน JBC เล่าบรรยากาศ

ผู้สื่อข่าวยังสอบถามถึงประเด็น 4 พื้นที่ข้อพิพาท ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งกัมพูชากำลังยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่ามีการหยิบยกในที่ประชุมหรือไม่ ฝ่ายกัมพูชามีคำสั่งชัดเจนจาก พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี ไม่ให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม แต่ตนเสียดาย เพราะประเด็นนี้ ในอดีตเคยมีข้อตกลงร่วมกันว่าเป็น “พื้นที่ห้ามทำกิจกรรม” เพื่อป้องกันการปะทะ ถ้าได้พูดกันก็อาจช่วยลดความตึงเครียดได้แต่ทางกัมพูชายืนยันไม่ยกขึ้นมาหารือ

“ไม่ใช่งี้เง่าไปถูกเขาหลอก จริง ๆ เราอัดกันแรงพอสมควร แต่ก็ถือว่าแรงน้อยสุดเท่าที่ผมเคยเจอมา” ประธาน JBC กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญคณะทูตจาก 80 ประเทศ เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน JBC ฝ่ายไทย และนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัทจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เข้าร่วมชี้แจง

วันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ “ท่าทีไทยต่อการยื่นหนังสือโดยกัมพูชา ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เกี่ยวกับพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย” โดยสรุปว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นท่าทีเดียวกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติอีก 118 ประเทศ

แถลงการณ์ย้ำว่า ไทยยึดมั่นในหลักการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีตามกฎบัตรสหประชาชาติ และการนำข้อพิพาทไปสู่ฝ่ายที่สาม “อาจมิใช่ทางออกที่ดีที่สุด” โดยเฉพาะประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนเชิงประวัติศาสตร์ ดินแดน และการเมืองที่ซับซ้อน

ทั้งนี้ ไทยสนับสนุนการแก้ปัญหาภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC), คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ตลอดจนเวทีทวิภาคีอื่น ๆ ที่จะเปิดทางให้การหารือเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ฉันมิตรและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ

Back to top button