ได้ไม่คุ้มเสีย! “สภาผู้บริโภค-ผู้เชี่ยวชาญ” เตือนภัยสแกนม่านตาแลกเงิน เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล

สภาองค์กรของผู้บริโภค ออกโรงเตือนประชาชนให้ระมัดระวังโครงการที่ใช้เทคโนโลยี “สแกนม่านตา” เพื่อแลกกับสกุลเงินดิจิทัล สอดคล้องข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ ชี้ข้อมูลม่านตาเป็นข้อมูลชีวภาพขั้นสูงสุดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากรั่วไหลอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงและถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรมไซเบอร์ได้ แนะผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยง อาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ออกมาเตือนประชาชน หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการชักชวนให้ประชาชนสแกนม่านตาแลกรับเงิน 500–1,000 บาท ในพื้นที่เมืองเพชรบูรณ์ โดยอ้างว่าจะนำไปแลกเหรียญคริปโต ผู้ที่สแกนม่านตาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินรายละ 1,000 บาท ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ผู้แนะนำสมาชิกจะได้รับเงิน 500 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 10 รายนั้น

ทั้งนี้ ในยุคที่ข้อมูลมีมูลค่ามหาศาล เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometrics) เข้ามามีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การสแกนลายนิ้วมือ, การจดจำใบหน้า ไปจนถึงเทคโนโลยีล่าสุดอย่างการสแกนม่านตา ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่มีความเฉพาะตัวสูงและเปลี่ยนแปลงได้ยากที่สุด ทำให้มีความแม่นยำและความปลอดภัยในการยืนยันตัวตนสูง

อย่างไรก็ตาม การนำข้อมูลม่านตาไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการยืนยันตัวตน เช่น การนำไปแลกกับผลตอบแทนอย่างสกุลเงินดิจิทัล กำลังสร้างความกังวลอย่างหนักในแง่ของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

ด้าน นายปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด ได้ให้ข้อมูลเตือนภัยในประเด็นนี้ว่า แม้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีอย่าง “World ID” ซึ่งริเริ่มโดย Sam Altman CEO ของ OpenAI (ผู้พัฒนา ChatGPT) จะอ้างว่าไม่มีการเก็บข้อมูลม่านตาไว้ แต่จะแปลงเป็นรหัสที่ไม่ซ้ำกัน (Iris Code) เพื่อยืนยันว่าเป็นมนุษย์จริง และข้อมูลจะถูกลบออกจากอุปกรณ์สแกน (Orb) ทันที แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูง

อาจารย์ปริญญาเน้นย้ำว่า “ม่านตาคือทรัพย์สินดิจิทัลที่มีมูลค่าสูง” และเป็นข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูงสุด การยินยอมให้สแกนจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเสี่ยงได้แก่

การรั่วไหลของข้อมูล หากข้อมูลรหัส Iris Code ที่ถูกสร้างขึ้นเกิดการรั่วไหล แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดีอาจนำข้อมูลนี้ไปใช้ในทางที่ผิดได้ในอนาคต

การถูกสวมรอย ข้อมูลม่านตาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ หากถูกขโมยไป อาจนำไปสู่การสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงินหรือเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ใช้การยืนยันตัวตนรูปแบบนี้

การสร้าง Deepfake ข้อมูลชีวภาพสามารถนำไปใช้ในการสร้าง Deepfake เพื่อก่ออาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อนและจับตัวได้ยาก

สภาองค์กรของผู้บริโภค ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในหลายประเทศ เช่น สเปน, บราซิล, อินเดีย, และเยอรมนี ยังไม่อนุญาตให้มีการสแกนม่านตาเพื่อเก็บข้อมูลบุคคลในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลในระดับสากล

แม้ปัจจุบันการสแกนม่านตาในลักษณะดังกล่าวยังไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมายไทย เนื่องจากผู้ใช้แสดงความยินยอมด้วยตนเอง แต่ผู้บริโภคควรตระหนักว่ากำลังแลกข้อมูลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไปกับผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย หากเกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต อาจเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้และไม่สามารถแก้ไขได้อีกเลย

Back to top button