
“ดาวโจนส์” ปิดบวก 81 จุด รับหุ้น Apple พุ่ง หลังลงทุนเพิ่ม 1 แสนล้านเหรียญในสหรัฐ
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดบวก รับแรงหนุน Apple ประกาศลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ หนุน Nasdaq พุ่งกว่า 1% ขณะนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย หลังจ้างงานสหรัฐฯ อ่อนแรง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันพุธ (6 ส.ค.68) โดยได้แรงหนุนจากหุ้น Apple ที่ทะยานขึ้นกว่า 5% หลังประกาศแผนขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ภายใต้โครงการ “American Manufacturing Program” ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ฟื้นตัวแรงที่สุดในรอบวัน
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 44,193.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.38 จุด หรือ +0.18%
- ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,345.06 จุด เพิ่มขึ้น 45.87 จุด หรือ +0.73%
- ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 21,42 จุด เพิ่มขึ้น 252.87 จุด หรือ +1.21%
แรงซื้อหุ้น Apple Inc. (AAPL) หนุนภาพรวมตลาด หลังบริษัทเปิดเผยแผนลงทุนใหม่ มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการขยายคำมั่นก่อนหน้า ส่งผลให้ยอดรวมการลงทุนของ Apple ในสหรัฐฯ ตลอด 4 ปีข้างหน้าแตะระดับ 600 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม Apple ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้มุ่งผลิต iPhone ทั้งเครื่องในสหรัฐฯ แต่เน้นเพิ่มสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วน การลงทุนด้านนวัตกรรม และการจ้างงานในประเทศมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับแรงเสริมจากปัจจัยทางเศรษฐกิจการเงิน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวกลับฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ราว 4.20% ขณะที่อัตรา 2 ปี แตะ 3.72% สะท้อน Yield Curve ที่แบนลง ซึ่งเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนในแนวโน้มเศรษฐกิจและดอกเบี้ย
ทั้งนี้ นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน หลังตัวเลขจ้างงานล่าสุดต่ำกว่าคาด และการประเมินย้อนหลังในเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน 2568 ถูกปรับลดลงอย่างมาก
ด้านการค้าโลกยังเป็นปัจจัยกดดันตลาด ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียอีก 25% รวมเป็น 50% เพื่อตอบโต้การที่อินเดียยังคงซื้อพลังงานและอาวุธจากรัสเซีย สะท้อนท่าทีแข็งกร้าวในการเจรจาการค้ารอบใหม่
แม้มีแรงกดดันจากนโยบายภาษี บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Apple พยายามใช้แผนลงทุนในประเทศเป็น “กลยุทธ์เชิงรุก” เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับภาครัฐและลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าในอนาคต