
“พาณิชย์” เปิดราคาสินค้าส่งออก-นำเข้า เม.ย. 68 ขยายตัว 0.3% รับมือสต๊อกหนีภาษีทรัมป์
โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แจงดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าเดือนเมษายน ขยายตัว 0.3% ตามแรงเร่งสต๊อกสินค้าอุตสาหกรรม หวั่นภาษีสหรัฐฯ กระทบ ขณะที่ส่งออก “ทอง-คอมพิวเตอร์-อาหารแปรรูป” ยังสดใส ด้านสินค้าเกษตรและน้ำมันราคายังอ่อนตัว จับตาแนวโน้มเดือนพฤษภาคม ชะลอจากเศรษฐกิจโลกผันผวน
วันนี้ (29 พ.ค.68) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าของไทย ในเดือนเมษายน 2568 เมื่อเทียบรายปียังคงขยายตัว ตามความต้องการสินค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากอยู่ในช่วงเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับการนำเข้าสินค้ายังขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อนำมาผลิตสำหรับการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาตรการกีดกันทางการค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อแนวโน้มราคาของไทยในระยะข้างหน้า
ดัชนีราคาส่งออกเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 110.9 ขยายตัวเล็กน้อย 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าเกษตรและสินค้าเชื้อเพลิงที่ลดลงจากปริมาณล้นตลาด ประกอบกับความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้ความต้องการชะลอตัว
อย่างไรก็ดี หมวดสินค้าที่หนุนให้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 1.6% นำโดยทองคำ ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการทำงานของ AI และการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนสหรัฐฯ ประกาศภาษี, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่มขึ้น 1.4% ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ตามแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์ทั่วโลกและความต้องการอาหารสัตว์คุณภาพสูง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตามกระแสการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานที่เพิ่มขึ้น
ส่วนหมวดสินค้าที่ราคาส่งออกลดลง ได้แก่ หมวดแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 17.4% โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่อ่อนตัว และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 3.3% เช่น ข้าว จากอุปทานโลกที่ยังสูง และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง รวมถึงมันสำปะหลังที่ผลผลิตล้นตลาด และความต้องการจากจีนลดลง เนื่องจากมีตัวเลือกจากประเทศเพื่อนบ้านที่ราคาถูกกว่า
ดัชนีราคานำเข้าเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 114.2 ขยายตัว 1.0% จากปีก่อน โดยได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าเชื้อเพลิงที่ลดลง อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าสำคัญยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ หมวดอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้น 8.0% เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และผักผลไม้ รวมถึงของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ สอดคล้องกับความต้องการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
หมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 4.6% นำโดยทองคำตามราคาตลาดโลกที่สูงขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า, แผงวงจรไฟฟ้า, สินแร่โลหะ, เศษโลหะ เพื่อใช้ในการผลิตและส่งออก หมวดสินค้าทุน เพิ่มขึ้น 4.1% ได้แก่ คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลต่าง ๆ รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง ราคาคงที่โดยรวม แต่มีความเปลี่ยนแปลงภายใน ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ราคาเพิ่มขึ้นจากความต้องการผลิตและส่งออก ส่วนรถยนต์โดยสารและรถบรรทุกมีราคาลดลง จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก ขณะที่หมวดเชื้อเพลิงหดตัว 14.3% โดยเฉพาะน้ำมันดิบ จากภาวะอุปทานส่วนเกินและความต้องการที่ชะลอตัว
นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2568 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลง โดยปัจจัยสนับสนุนการขยายตัว ได้แก่ 1. ฐานราคาปี 2567 ครึ่งปีแรกยังอยู่ในระดับต่ำ 2. การเร่งนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าก่อนมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ 3. การเติบโตต่อเนื่องของสินค้าเกษตรแปรรูป 4. การขยายตัวของสินค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และ 5. ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ 1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 2. ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ 3. ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ 4. ราคาสินค้าเกษตรบางกลุ่มที่ยังอ่อนตัวจากภาวะอุปทานล้นตลาด 5. การแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรง และ 6. ความผันผวนของค่าเงินบาท