“ฮอร์มุซ” สำคัญแค่ไหน? หากปิดทางลำเลียงน้ำมัน-ก๊าซ โลกสะเทือน ไทยส่อวิกฤตพลังงาน

ช่องแคบฮอร์มุซไม่ใช่แค่จุดผ่านน้ำมัน แต่คือจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจโลก สงครามในตะวันออกกลางทวีความดุเดือด ไทยในฐานะประเทศนำเข้าพลังงาน เตรียมพร้อมรับมือแรงสั่นสะเทือนระลอกใหม่


สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีฐานปฏิบัติการนิวเคลียร์ในอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

ด้าน รัฐบาลอิหร่าน ได้ตอบโต้ทันที โดยประกาศเตรียมใช้มาตรการเชิงยุทธศาสตร์ด้วยการ ปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางเดินเรือสำคัญที่เป็นจุดผ่านของน้ำมันดิบมากกว่า 20% ของปริมาณการค้าพลังงานทางทะเลทั่วโลก สร้างความหวั่นวิตกต่อเสถียรภาพด้านพลังงานและการขนส่งระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติอิหร่าน (SNSC) ซึ่งจะเป็นผู้ชี้ขาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หรือไม่

สถานการณ์นี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มพลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย รวมถึงไทย ได้รับแรงหนุนจากความกังวลด้านอุปทานที่อาจตึงตัว หากการปิดช่องแคบฮอร์มุซเกิดขึ้นจริง

  • ช่องแคบฮอร์มุซ เส้นเลือดพลังงานโลก

เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์หลักในการลำเลียงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโลก แต่ลึก ๆ  แล้วยังมีความสำคัญอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ

โดยศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน และอดีตคณะกรรมการการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก “Praipol Koomsup” (22 มิ.ย.68) อธิบายความสำคัญของช่องแคบฮอร์มุซ ดังนี้

ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) คือจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเป็น “ประตูทางออก” เพียงช่องเดียวของอ่าวเปอร์เซีย สู่ทะเลอาหรับและมหาสมุทรอินเดีย แม้มีความกว้างที่สุดเพียง 33-39 กิโลเมตร แต่เส้นทางเดินเรือที่ใช้จริงกลับแคบเพียง 3 กิโลเมตรในแต่ละทิศทาง โดยมี “เขตกันชน” คั่นกลางเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ช่องแคบมีความลึก สูงสุดมากราว 200 เมตร ใกล้ฝั่งโอมาน ทำให้รองรับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างสบาย

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ประมาณ 1 ใน 5 ของน้ำมันโลก ประมาณ 17-18 ล้านบาร์เรลต่อวันของน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และ LNG จำนวนมาก โดยเฉพาะจากกาตาร์ ถูกขนส่งผ่านช่องแคบนี้

แต่ในความสะดวกกลับแฝงความเปราะบาง เพราะเส้นทางนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของอิหร่าน ซึ่งมีทั้งเกาะยุทธศาสตร์ ฐานทัพ และศักยภาพทางทหารที่พร้อมจะสกัดกั้นการเดินเรือได้ทุกเมื่อ

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ มีกองเรือที่ 5 ประจำการอยู่ในประเทศบาห์เรน ที่มีความรับผิดชอบหลัก คุ้มครองการจราจรทางทะเลในภูมิภาค และเน้นความสําคัญของช่องแคบฮอร์มุซ ที่มีต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลก

ศ.ดร.พรายพล ให้ข้อมูลว่า เท่าที่ผ่านมาอิหร่านได้ใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และกองกำลังในน่านน้ำ เพื่อขัดขวางหรือปิดกั้นการเดินเรือในช่องแคบเป็นเวลาสั้น ๆ โดยอาวุธยุทโปกรณ์สำคัญ ได้แก่ ทุ่นระเบิดในน้ำ, จรวดและโดรน, เรือเร็ว, เรือดําน้ำ และกองทัพเรือชายฝั่ง

  • ประเทศไทย กับ ช่องแคบฮอร์มุซ

จากการปิดช่องแคบฮอร์มุซนั้นกระทบกับพลังงานไทยอย่างมากเช่นเดียวกับทั่วโลก ศ.ดร.พรายพล ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้พลังงานจากน้ำมันเป็นสัดส่วนประมาณเกือบ 40% ของพลังงานทั้งหมด และใช้ก๊าซธรรมชาติ ประมาณเกือบ 30% ของทั้งหมด

ขณะที่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศประมาณ 85% ของน้ำมันที่ใช้ทั้งหมด และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติประมาณ 40% ของก๊าซที่ใช้ทั้งหมด โดย 25% เป็น LNG และอีก 15% เป็นก๊าซผ่านท่อจากเมียนมาร์ ไทยต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากต่างชาติในสัดส่วนมากถึง 46% ของการใช้พลังงานทุกชนิดรวมกัน เป็นน้ำมันนำเข้า 34% และก๊าซนำเข้า 12% ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลาง จากแหล่งสำคัญคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คูเวต, ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน และเป็นน้ำมันที่ขนส่งมาทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ

ส่วนของก๊าซธรรมชาติ ไทยนำเข้า LNG  จากตะวันออกกลาง ประมาณ 30% ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด โดย 25% จากกาตาร์ 5% จากโอมาน โดยเกือบทั้งหมดต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ สรุปได้ว่า อย่างน้อย 1 ใน 3 ของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยคือ น้ำมันและก๊าซที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ

“ดังนั้นการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้ไทยขาดพลังงานไปเป็นจำนวนหนึ่งในสามของพลังงานทั้งหมด ที่จะขาดแคลนมากที่สุดคือน้ำมันเพราะมีสัดส่วนที่ลดลงมากที่สุด แต่ปัญหาคงไม่ใช่เฉพาะไม่มีน้ำมันและก๊าซให้ใช้ได้อย่างเพียงพอเท่านั้น เชื่อกันว่าการปิดช่องแคบนี้จะก่อให้เกิดราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะจะเกิดการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก (supply ลดลงไป 20%) วงการน้ำมันคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาเรลอย่างแน่นอน และอาจขึ้นไปสูงถึง 200 ดอลลาร์ก็เป็นได้” ศ.ดร.พรายพล ระบุ

คำถามคือ… ถ้าเกิดขึ้นจริง ไทยจะมีแผนสำรองนอกตะวันออกกลางเพียงพอหรือไม่?

นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ระบุด้วยว่า หากการปิดช่องแคบมีผลเป็นเวลาไม่นานเกิน 1 เดือน ไทยก็ยังคงมีน้ำมันเหลือใช้อย่างเพียงพอ โดยอาศัยสต๊อกน้ำมันสำรอง ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินว่ามีสต๊อกให้ใช้ได้เป็นเวลา 60 วัน อีกทั้งยังสามารถซื้อน้ำมันจากแหล่งผลิตในประเทศอื่น ๆ นอกพื้นที่ตะวันออกกลางได้บ้าง แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมากและจะทำให้ต้นทุนน้ำมันนำเข้าสูงขึ้นมากเช่นกัน

“หากรัฐบาลไม่ใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาขายปลีกของน้ำมันก็จะสูงขึ้น และจะทำให้ค่าขนส่งและราคาสินค้าต่าง ๆ สูงขึ้นด้วย จนกลายเป็นปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาที่รุมเร้าซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่แล้ว หากรัฐบาลเลือกใช้การอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยิ่งจะทำให้กองทุนฯ ติดลบและเป็นหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จากในปัจจุบันที่ติดลบอยู่ประมาณ 36,000 ล้านบาท การปิดช่องแคบฮอร์มุซเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะทำให้ปริมาณ LNG จากตะวันออกกลางที่ขนส่งมาไทยขาดแคลนและแพงขึ้นได้เช่นกัน และก็จะมีผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นได้”  ศ.ดร.พรายพล ระบุ

ด้านนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (23 มิ.ย.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เรียกประชุมด่วน ที่กระทรวงพลังงาน เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการจ่อปิดช่องแคบฮอร์มุซ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า ไทยมีพลังงานสำรองไปถึง 60 วัน ซึ่งถ้าเกิดการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง  ต้องกำหนดมาตรการรับมือ เช่น ประหยัดพลังงานในประเทศ รวมถึงหาพลังงานทดแทน

แม้ไทยจะอยู่ห่างไกลจากจุดปะทุในตะวันออกกลาง แต่โลกพลังงานไม่มีพรมแดน

การปิดช่องแคบฮอร์มุซอาจจุดชนวนให้ตลาดโลกสั่นสะเทือน และเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญบททดสอบใหม่

Back to top button