
“วิทัย” เริ่มงานผู้ว่า ธปท. – โฆษกยันไม่ปิดประตูกองทุนมั่งคั่ง
“วิทัย รัตนากร” ประเดิมวันแรกในตำแหน่งผู้ว่า ธปท. ด้านโฆษกยืนยันไม่ปิดทางกองทุนมั่งคั่ง แต่ต้องทำอย่างรอบคอบและโปร่งใส เพราะเป็นเงินของประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ต.ค.68) เวลา 08:35 น. นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลำดับที่ 25 เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระนาคปรก หน้าตำหนักวังบางขุนพรหม ประจำ ธปท. ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยมีคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ
นายวิทัย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกของการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการในตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ ภารกิจหลักของ ธปท. ยังคงยึดมั่นในการดูแลรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค และดำเนินงานอย่างเป็นอิสระจากการเมือง
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า ปัญหาระยะสั้นมีหลายประการที่ต้องเร่งเข้าไปดูแล ขณะเดียวกันยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ต้องเผชิญ แม้เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งวันแรก ก็พยายามที่จะดูแลเท่าที่สามารถทำได้ ภารกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยมีหลายด้าน บางเรื่องเป็นประเด็นใหญ่ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานในการประคับประคอง
“เราไม่ได้มีเครื่องมือทุกอย่าง แต่สิ่งสำคัญคือการยึดมั่นในภารกิจหลักของเรา คือการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการดำเนินงานอย่างเป็นอิสระ” นายวิทัย กล่าวย้ำ
ขณะที่เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงข้อเสนอให้ ธปท. นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 9 ล้านล้านบาท ออกมาตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Fund) สร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่ม ว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมานานมากแล้ว ซึ่งธปท. ไม่ได้มองว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ดี เพียงแต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี และทำให้โปร่งใส เนื่องจากเป็นเงินของประเทศ
โฆษก ธปท. อธิบายว่า โครงสร้างทุนสำรองของแต่ละประเทศแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ทุนสำรองที่มาจากรายได้จากการค้าขายสินค้าและบริการ 2. ทุนสำรองที่มีภาระผูกพัน (Borrowal Reserve) หรือทุนสำรองที่เกิดจากเงินลงทุนต่างชาติ เป็นเงินจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุน ทั้งการลงทุนโดยตรง (FDI) และลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร โดยมีมูลค่าสูง
ทุนสำรองที่มีภาระผูกพันนี้เป็นส่วนที่มีโอกาสที่ต่างชาติจะนำเงินกลับประเทศ ซึ่งไทยจะต้องเตรียมเงินในส่วนนี้ไว้ เพราะหากไม่มีจะเป็นความเสี่ยงทางด้านเครดิตของประเทศ และจะทำให้ภาพเครดิตของประเทศไม่ดี
นางสาวชญาวดี กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้บริษัทจัดอันดับเครดิต (Rating Agency) จะปรับลดมุมมอง (Outlook) เศรษฐกิจไทยแต่ยังมองว่า มีปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยอยู่ คือ การมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ดี สะท้อนพื้นฐานแข็งแกร่งของประเทศที่มีความยืดหยุ่น (Resilience) และเป็นกันชน (Cushion) ความเสี่ยงจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ โฆษก ธปท. ย้ำว่า เราเป็นประเทศที่มี Borrowal Reserve มาก แนวคิดกองทุนมั่งคั่งไม่ใช่สิ่งที่ปฏิเสธ
“ไม่ใช่ว่าจะดื้อ แต่หากทำ ต้องดู Size ของเม็ดเงิน ความพอเหมาะสม และในแง่ธรรมาภิบาล จะต้องทำอย่างระมัดระวัง และมีการบริหารจัดการให้ดี โปร่งใส เนื่องจากเป็นเงินของประเทศ หากเทียบประเทศที่มีกองทุนมั่งคั่ง เช่น เป็นประเทศที่มีรายได้มั่นคง อาทิ ประเทศที่มีน้ำมัน หรือสิงคโปร์ที่มีรายได้จากการบริการในเรื่องของ Financial Service แม้ไม่มีทรัพยากร ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาหลาย ๆ ประเทศ” นางสาวชญาวดี ระบุ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
“ศุภวุฒิ” จี้ปลดล็อกทุนสำรองล้น 9 ล้านลบ. เสนอดึง 3.3 ล้านลบ. ตั้งกองทุนมั่งคั่ง