
DPA ยกระดับคุ้มครองเงินฝาก รองรับ Virtual Bank เสริมความมั่นคง
DPA เร่งยกระดับระบบคุ้มครองเงินฝาก เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้ระบบสถาบันการเงินไทย คุ้มครองเงินฝากกว่า 101.7 ล้านบัญชี มูลค่า 16.25 ล้านล้านบาท พร้อมเตรียมรองรับ Virtual Bank ภายใต้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาทต่อราย ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ READY & Prompt ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) เปิดเผยว่า DPA แม้จะเป็นองค์กรที่ไม่ปรากฏในหน้าสื่อบ่อยนัก แต่มีภารกิจสำคัญในการคุ้มครองเงินฝากของประชาชนกว่า 101.7 ล้านบัญชีทั่วประเทศ ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินไทยมากว่า 17 ปี และกำลังเดินหน้าปรับตัวให้ทันกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ฝากเงินในยุคดิจิทัล
ปัจจุบัน DPA คุ้มครองเงินฝากรวมกว่า 16.25 ล้านล้านบาท ครอบคลุมสถาบันการเงิน 32 แห่ง ทั้งธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และเครดิตฟองซิเอร์ รวมถึงเตรียมครอบคลุม Virtual Bank อีก 3 แห่งในปี 2569 ภายใต้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน ซึ่งเพียงพอที่จะครอบคลุมผู้ฝากเงินกว่า 98% ของทั้งระบบ
ดร.มหัทธนะ ระบุว่า หากมีสถาบันการเงินถูกสั่งปิด DPA จะต้องเข้าดำเนินการจ่ายคืนเงินฝากให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เปรียบเสมือน “ฟองน้ำ” ที่ช่วยลดผลกระทบและสกัดไม่ให้ความตื่นตระหนกแพร่ขยายไปทั่วระบบการเงินของประเทศ
ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2564–2568) เงินฝากออมทรัพย์ยังคงเป็นประเภทบัญชีเงินฝากที่ได้รับความนิยมสูงสุด แม้จะมีการปรับน้ำหนักระหว่างเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงโควิด-19 ที่ดอกเบี้ยปรับลดลง ผู้ฝากจึงหันไปฝากออมทรัพย์มากขึ้น ก่อนที่เงินฝากประจำจะกลับมาได้รับความสนใจในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และเริ่มไหลกลับไปสู่บัญชีออมทรัพย์อีกครั้งเมื่อดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลง
ขณะเดียวกันสถาบันการเงินเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์โลกดิจิทัลมากขึ้น เช่น เงินฝากประจำดอกเบี้ยแบบขั้นบันได การรับดอกเบี้ยรายเดือน หรือบัญชีออมทรัพย์ที่มาพร้อมฟีเจอร์ออมอัตโนมัติ ซึ่งช่วยสร้างความผูกพันกับผู้ฝาก และจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อ Virtual Bank เข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการในปีหน้า โดยทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ DPA เช่นเดียวกับสถาบันการเงินปัจจุบัน
สำหรับบทบาทของ DPA ในระยะต่อไป ดร.มหัทธนะ ชี้ว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากการทำงานที่ “พร้อมรับมือเมื่อเหตุเกิด” ไปสู่การเป็น “ผู้ปกป้องเชิงรุก” ที่เตรียมพร้อมล่วงหน้า ทั้งในด้านข้อมูล เทคโนโลยี และบุคลากร โดย DPA ได้นำยุทธศาสตร์ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2566–2570) ภายใต้แนวคิด “READY & Prompt” มาขับเคลื่อนองค์กร ผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้เข้าถึงง่าย การเสริมการมีส่วนร่วม การเพิ่มความคล่องตัว การใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างความเชื่อมั่นต่อเนื่องตลอดทั้งปี
DPA กำลังพัฒนาระบบ Data Lake เพื่อรวบรวมข้อมูลแบบรวมศูนย์ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงได้ละเอียดขึ้นและสนับสนุนการตัดสินใจในทุกขั้นตอน โดย ดร.มหัทธนะ ระบุว่า แม้ไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้มาตรการคุ้มครองเงินฝาก แต่หากเกิดขึ้นจริง องค์กรต้องพร้อมที่สุดเพื่อรับมือกับสถานการณ์และแรงกดดันที่อาจตามมา
อีกด้านหนึ่ง DPA ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้ประชาชนรู้จักบทบาทขององค์กร เข้าใจหลักการคุ้มครองเงินฝาก และสามารถรับมือกับข่าวลือหรือข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความตื่นตระหนก โดยเฉพาะภัยไซเบอร์และมิจฉาชีพที่มักแอบอ้างชื่อหน่วยงานทางการเงินเพื่อหลอกลวงประชาชน ดร.มหัทธนะย้ำว่า DPA ไม่มีนโยบายติดต่อผู้ฝากเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว และผู้ที่ได้รับการติดต่อในลักษณะดังกล่าวควรตัดสายทิ้งทันที พร้อมตรวจสอบข้อมูลผ่านศูนย์ข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158
ในช่วงเวลาที่ระบบการเงินเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และความเสี่ยงรอบด้านที่เกิดขึ้นทั้งจากเศรษฐกิจและภัยไซเบอร์ DPA ยังคงทำหน้าที่เป็นหลักประกันความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น เงินฝากของพวกเขายังคงได้รับการคุ้มครองอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

