JASIF-DIF เสี่ยงถูกแรงขายกดดันหลัง SCB ขายหุ้น SCC ล้างพอร์ต

โบรกฯ สั่งเฝ้าระวังกลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน JASIF-DIF เสี่ยงมีแรงขายกดดันหลังวานนี้ SCB โยนหุ้น SCC ให้สำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อนำเงินไปตั้งสำรองหนี้ SSI ก่อนสิ้นเดือนนี้


บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (25 ก.ย.) ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าราคาหุ้นในกลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ถือหุ้นอยู่อย่างกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF (TRUEIF) ซึ่ง SCB ถือหุ้นอยู่ 473.87 ล้านหุ้นหรือ 8.16%

รวมถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF (SCB ถือหุ้นอยู่ 50 ล้านหุ้นหรือ 0.91%) อาจถูกแรงขายกดดันหลังเมื่อวานนี้ทาง SCB ได้มีการขายหุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ออกมาทั้งหมดให้กับสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้มีโอกาสที่ SCB อาจจะต้องขายหุ้นในพอร์ตที่เหลือออกมาอีก

อย่างไรก็ตามด้วยสภาพคล่องการซื้อขายที่ต่ำของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานทำให้มีโอกาสที่ SCB อาจจะขายหุ้น DIF (ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 9 ล้านหุ้นหรือ 108 ล้านบาท/วัน) ออกมาในลักษณะเป็น big lot เหมือน SCC มากกว่าที่จะขายออกมาในตลาด

ขณะที่ JASIF อาจจะขายออกมาในตลาดได้เพราะมีปริมาณการซื้อขาย 136 ล้านบาท/วันหรือประมาณ 13 ล้านหุ้น/วัน โดยหากราคาหุ้นปรับลดลงจากประเด็นดังกล่าว มองเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อลงทุนหุ้น JASIF ที่ให้อัตราเงินปันผลสูง 7-9% โดยให้ราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานที่ 12.80 บาท

 

โดยวานนี้ (24 ก.ย.) SCB ขายหุ้น SCC ทั้งหมดที่ถืออยู่จำนวน 9.09 ล้านหุ้นให้กับสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีราคาขายอยู่ที่หุ้นละ 491.76 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นราคาต้นทุนที่ธนาคารได้ซื้อมา และสูงกว่าราคาบนกระดานที่ 476 บาท/หุ้น ทำให้บริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้นดังกล่าวราว 4.47 พันล้านบาท

สำหรับวัตถุประสงค์ของการขายหุ้นดังกล่าว เพื่อนำมาใช้เป็นเงินที่ชดเชยในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจากกรณี บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารฯ ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนักจากการลงทุนในโรงถลุงเหล็กที่ประเทศอังกฤษ (SSI UK) ทำให้ธนาคารต้องมีการตั้งสำรองของมูลหนี้ดังกล่าวราว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท และจะมีการตั้งเต็ม 100% ภายในเดือนนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำชับมา

ทั้งนี้หุ้นที่ SCB ที่ถือยังอยู่ ได้แก่ , บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH จำนวน 91.6 ล้านหุ้น, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT จำนวน 25.6 ล้านหุ้น,  บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK จำนวน 21.5 ล้านหุ้น 

 

*อนึ่ง ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button