ตรึงค่าไฟ

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (18 ก.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า นำโดยบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้น ณ เวลา 10:43 น. อยู่ที่ระดับ 11.90 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.59% สูงสุดที่ระดับ 12.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 71.89 ล้านบาท บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ณ เวลา 10:45น. อยู่ที่ระดับ 32.00 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.40% สูงสุดที่ระดับ 32.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 31.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 107.70 ล้านบาท ด้านนายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 26/2568 (ครั้งที่ 968) เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา มีมติให้เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ก.ย. - ธ.ค. 2568 เป็น 3 กรณี ระหว่าง 3.98-5.10 บาทต่อหน่วย เทียบกับงวดปัจจุบันอยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ พบว่าปัจจัยบวกหลักๆ ที่ส่งผลดีต่อค่าเอฟทีและแนวโน้มค่าไฟที่ลดลงในงวด ก.ย. - ธ.ค. 2568 มาจากปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยกลับมาสู่ภาวะปกติ ขณะที่ราคา Pool Gas จากงวด พ.ค.-ส.ค.2568 อยู่ที่ 313 บาทต่อล้านบีทียู ลงมาเหลือ 299 บาทต่อล้านบีทียู, ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากงวดก่อนอยู่ที่ 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เหลือ 32.95 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนราคา Spot LNG ลดลงจากงวดก่อน 14 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เหลือ 13.93 บาทต่อล้านบีทียู รวมทั้งราคาน้ำมันเตาดีเซลและถ่านหินก็ถูกลงประมาณ 7% เมื่อเทียบกับงวดก่อน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าช่วงปลายปีมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีและค่าไฟได้ทันที เพราะว่ายังคงมีภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีก 66,072 ล้านบาท ทั้งนี้จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟงวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2568 ตั้งแต่วันที่ 17-28 ก.ค.2568 โดยแบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) และการคำนวณกรณีเรียกเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 131.94 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.10 บาทต่อหน่วย กรณีที่ 2: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 109.09 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.87 บาทต่อหน่วย และกรณีที่ 3: กรณีตรึงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 19.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนก.ย. – ธ.ค. 2568 จำนวน 9.01 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 7,072 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 10.71 สตางค์ต่อหน่วย) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าคงที่เท่ากับ 3.98 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกัน ในกรณีค่าไฟ 3.70 บาทต่อหน่วยนั้น กกพ. ทำงานใกล้ชิดร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อปรับโครงสร้างค่าไฟให้เหมาะสม โดยผลจะออกมาอย่างไรนั้น อยู่ที่กระทรวงพลังงาน จากนั้นจะนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานต่อไป ด้านบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุกรณี กกพ. ประกาศรับฟังความคิดเป็น ค่าไฟงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2568 โดยมีกรณีต่ำสุดที่ 3.98 บาทต่อหน่วย บนต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง มองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ได้แก่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM บนค่าไฟกรณีต่ำสุดที่ออกมาเท่ากับสมมติฐานเดิมของบริษัท ขณะที่ราคา Pool gas ที่ปรับตัวลงมากกว่าคาด มาอยู่ระดับ 299 บาทในไตรมาส 2/2568 (ดีกว่าคาดราว 10 บาท) ดังนั้นส่งผลให้คาดปัจจุบันกำไรปี 2568 ของ GPSC และ BGRIM มีอัพไซด์บน Sensitivity ทุกๆ ราคา Pool gas ลดลง 10 บาทจะเป็นอัพไซด์ต่อกำไรปี 2568 ของ GPSC ที่ 6.50% และ BGRIM ที่ 8.80% และถือเป็นการคลายความกังวลนโยบายลดค่าไฟสำหรับกลุ่ม SPP ในปี 2568 โดยมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP และพลังงานทดแทน อย่าง บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เนื่องจากเป็นการผ่อนคลายความเสี่ยงการปรับลดค่าไฟผ่านการลดค่าความพร้อมจ่าย (AP) และ ค่าไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ดังนั้น คงคำแนะนำ Bullish สำหรับกลุ่มนี้โดยยังคง GULF, BCPG เป็น Top pick และแนะนำเก็งกำไร GPSC จากปัจจัยบวกข้างต้น