บลฟิลลิป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการ “คนละครึ่ง” กำลังหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อกระทรวงการคลังยืนยันความพร้อมในการนำโครงการอุดหนุนร่วมจ่ายของรัฐบาล หาก ครม.อนุมัติสามารถเดินหน้าได้ภายใน 30–45 วัน และอาจเริ่มต้นได้ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 ด้านงบประมาณ กระทรวงการคลัง เตรียมความพร้อมไว้แล้ว โดยสามารถใช้จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจในงบประมาณปี 2569 หากโครงการเริ่มเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นต้นปีงบประมาณใหม่ อีกทั้ง ยังมีงบกลางในรายการเงินสำรองกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนโครงการได้ และหากต้องการขยายวงเงินก็สามารถโยกจากงบกลางได้เช่นกัน สำหรับการดำเนินงานยังคงใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง/ถุงเงิน” เช่นเดิม โดยร้านค้าเดิมสามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนใหม่ แต่หากเป็นร้านค้าใหม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้ง และประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการยังคงใช้ข้อกำหนดเดิมเช่นกัน ตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเดิมตั้งแต่ปี 2563-2564 ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1.) อายุ 18 ปีขึ้นไป 2.) มีสัญชาติไทย และ 3.) ไม่ได้ลงทะเบียนในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ได้ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สำหรับราคาหุ้นของทั้ง บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อวันจันทร์ โดย CPAXT ปรับตัวขึ้น 14% ส่วน BJC ปรับตัวขึ้น 10% หลังการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ เทียบกับการปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยของตลาดหลักทรัพย์ที่ +0.1% โดยทางฝ่ายนักวิเคราะห์เชื่อว่า ราคาหุ้นทั้งสองตัวปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยภายใต้สมมติฐานว่าจะมีการใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นจำนวน 50,000 ล้านบาท (แบ่งเป็น 25,000 ล้านบาทจากภาครัฐ และ 25,000 ล้านบาทจากภาคเอกชน) พร้อมการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายระหว่างธุรกิจการค้าแบบดั้งเดิมและธุรกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ในสัดส่วน 50:50 จากนั้น แบ่งส่วนแบ่งตลาดระหว่าง CPAXT และ BJC ในสัดส่วน 80:20 บนฐานการใช้จ่ายในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จำนวน 25,000 ล้านบาท โดยใช้อัตรากำไรสุทธิ 3% และ P/E ที่ 13 เท่า ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ คาดว่ามีอัพไซด์อยู่เพียง 3.8% และ 2.5% สำหรับ CPAXT และ BJC ตามลำดับ ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ระบุว่า โครงการ “คนละครึ่ง” คาดว่าในส่วนรายละเอียดการใช้จ่ายแบบ 50:50 หรือ 60:40 หรือ 70:30 ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ โครงการข้างต้นนับเป็นโครงการที่มีแนวโน้มช่วยเหลือประชาชนได้ในวงกว้าง สะท้อนจากประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย ซึ่งเผยว่าโครงการ “คนละครึ่ง” จะสามารถเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็กและข้างทางได้อย่างน้อย 1.8-2.5 เท่า จากครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของประชาชนทั่วไปได้อย่างน้อย 15-20% พร้อมทั้งกระจายไปสู่ห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด ไปจนถึงภาคเกษตรกรอีกด้วย ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ คาดว่าหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการ “คนละครึ่ง” ได้แก่ BJC, BTG, CPALL, CPAXT, CPF, GFPT, ICHI, KTB และ TFG อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการ “คนละครึ่ง” ส่วนใหญ่มีการปรับตัวขึ้นล่วงหน้าไปแล้วบางส่วน แสดงถึงการตอบรับของตลาดต่อปัจจัยบวกดังกล่าวในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ยังมีบางหลักทรัพย์ที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ โดยเมื่อพิจารณาเชิงลึกพบว่า ราคาหุ้นบางตัวบนกระดานยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) อีกทั้งยังมีส่วนต่าง (Upside) เหลืออยู่เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่บริษัทหลักทรัพย์ได้ประเมินไว้ จึงยังเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนเชิงเก็งกำไรในระยะสั้น บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 9 ก.ย. 68 อยู่ที่ 21.00 บาท ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value) อยู่ที่ 29.77 บาท และเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่ 32.00 บาท ยังมีอัพไซด์สูงถึง 52.38% บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 9 ก.ย.68 อยู่ที่ 22.60 บาท ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value) อยู่ที่ 28.49 บาท และเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่ 32.00 บาท คงเหลืออัพไซด์ 41.59% บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 9 ก.ย.68 อยู่ที่ 9.55 บาท ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value) อยู่ที่ 16.25บาท และเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย 13.20 บาท ทำให้ยังมีอัพไซด์ 38.22% บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 9 ก.ย. 68 อยู่ที่ 23.10 บาท ขณะที่มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value) อยู่ที่ 29.55บาท และเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย 38.00.00 บาท ยังมีอัพไซด์ 64.50%