ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 68 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.68 มีกำไรสุทธิ ดังนี้ โดยบริษัทรายงานผลประกอบการปี 2567/68 มีรายได้รวมอยู่ที่ 28,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.9% หรือราว 4,615 ล้านบาทจากปีก่อนหน้า โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการรวมงบการเงินของบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (RABBIT) และบริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) (ROCTEC) ซึ่งเข้าซื้อกิจการผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (VTO) ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้รวม 3,423 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้กำไรพิเศษจำนวน 3,368 ล้านบาท จากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC จากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อย และมีกำไรจากการขายเงินลงทุนอีก 252 ล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้รวมยังถูกลดทอนบางส่วนจากการลดลงของรายได้รับเหมาจำนวน 2,753 ล้านบาท หลังการสิ้นสุดของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูสายหลัก ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทอยู่ที่ 19,106 ล้านบาท ลดลง 12.5% จากปีก่อนหน้า เป็นผลจากการไม่มีการบันทึกผลขาดทุนพิเศษจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEX) ซึ่งเคยเกิดขึ้นในปีก่อน รวมถึงต้นทุนรับเหมาที่ลดลงหลังการสิ้นสุดงานก่อสร้างรถไฟฟ้า กำไรจากการดำเนินงานประจำก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Recurring EBITDA) อยู่ที่ 9,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยหนุนหลักคือการฟื้นตัวของธุรกิจ MIX และ MATCH โดยเฉพาะจากการกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้า ซึ่งอยู่ที่ 454 ล้านบาท จากที่เคยรับรู้ขาดทุน 206 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ด้านกำไรในกลุ่มธุรกิจ MIX เพิ่มขึ้นจากการขายเงินลงทุนใน KEX และผลการดำเนินงานที่ดีของ JMART และ VGI ขณะที่ธุรกิจ MATCH มี Recurring EBITDA เพิ่มขึ้นจากการรวมงบของ RABBIT และ ROCTEC อย่างไรก็ตาม แม้จะมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น แต่บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,117 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 5,241 ล้านบาทในปี 2566/67 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.3% ทั้งนี้ ในส่วนของกระแสเงินสด บริษัทมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานอยู่ที่ 40.2 พันล้านบาท จากการได้รับชำระหนี้ E&M และ O&M (ฟ้องครั้งที่ 1) จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) และมียอดเงินสดและรายการเทียบเท่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 436.7% หรือ 27.2 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน