FTAไทยสหรัฐ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาได้แจ้งผ่านรองผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ขอสั่ง “ระงับ” การเจรจากรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว โดยจะกลับมาเจรจาอีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าจะกลับเข้าสู่ Joint Declaration ไทย–กัมพูชา หรือปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชา พร้อมแสดงความหวังว่าจะหาทางออกในประเด็นดังกล่าวได้โดยเร็ว นายนิกรเดช ระบุว่า ไทย “ผิดหวัง” ต่อท่าทีของสหรัฐฯ เนื่องจากไทยยืนยันว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงและความปลอดภัยบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นทวิภาคีระหว่างสองประเทศ ควรถูกแยกออกจากเรื่องการค้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมในกรอบไทย–สหรัฐฯ นอกจากนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ประสงค์แทรกแซงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา และย้ำว่ามาตรการทางการค้าและภาษีระหว่างประเทศจะพิจารณาอย่างรอบคอบตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของคู่เจรจาเป็นสำคัญ ทั้งนี้รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าขยายตลาด และผลักดันความร่วมมือด้านการค้าเสรี รวมถึงการเข้าร่วมกรอบเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพื่อเสริมความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยยังยินดีต่อบทบาทของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการลดความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา โดยถือเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนไปสู่สันติภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นทิศทางที่ไทยยึดมั่นบนผลประโยชน์ของประเทศ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงแนวทางรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายนิกรเดชเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าไทยต้องการแยกแยะระหว่างประเด็นชายแดนและประเด็นการค้ากับสหรัฐฯ และขอให้สหรัฐฯ พิจารณาแยกเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน พร้อมย้ำไทยยังมุ่งมั่นเดินหน้าเจรจาความร่วมมือการค้าเสรีกับสหรัฐฯ และจะใช้กลไกทวิภาคีหารือร่วมกับกัมพูชา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความเข้าใจต่อจุดยืนของไทย และตอบรับในเชิงผ่อนคลายต่อถ้อยคำของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้อเสนอเรื่องการลดภาษีในกรณีจัดการทุ่นระเบิดชายแดนได้สำเร็จ พร้อมระบุว่าจะหารือกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นนี้ สำหรับการดำเนินงานหลังจากนี้ กระทรวงด้านเศรษฐกิจจะเดินหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ต่อไป ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศหวังว่าการหารือของนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะช่วยสร้างแรงกดดันให้กัมพูชาเข้าใจเจตนารมณ์ของไทยมากขึ้น