
หุ้นขึ้น! ต้องรอฝรั่ง
วานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 425 ล้านบาท แต่หากดูตัวเลขจากต้นปี 2568 จนถึงวานนี้ (14 พ.ค.) นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยอยู่กว่า 5.7 หมื่นล้านบาท
วานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 425 ล้านบาท
แต่หากดูตัวเลขจากต้นปี 2568 จนถึงวานนี้ (14 พ.ค.) นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยอยู่กว่า 5.7 หมื่นล้านบาท
ก่อนหน้านี้บทวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ระบุด้วยการคาดหวังว่า ในเดือนพ.ค.นี้ เราอาจจะเห็นการกลับมาซื้อสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย หลังจากขายสุทธิมา 4 เดือนติดต่อกันแล้ว (ม.ค.-เม.ย. 2568)
และน่าจะช่วยให้หุ้นไทยเดินไปข้างหน้าต่อได้
เช่นเดียวกับอีกหลายโบรกเกอร์ต่างคาดหวังว่า ต่างชาติ (ควร) จะวกกลับมาซื้อหุ้นไทย (ได้แล้ว)
เพราะหากพิจาณาจาก P/E Ratio เพียง 12 เท่า
PBV ที่ลงมาค่อนข้างถูกมาก ๆ
และราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่างปรับลงมาสวนกับผลประกอบการ
แต่จนแล้วจนรอด ต่างชาติยังขายออกมาต่อเนื่อง (ในช่วง 4 เดือนแรก)
หากจะถามว่า แล้วต่างชาติรออะไร ในเมื่อตลาดหุ้นไทยปรับลงมาจนมีมูลค่าน่าสนใจ
คำตอบนั้นน่าจะออกมาหลายปัจจัยด้วยกัน
เริ่มจาก เงินของต่างชาติส่วนใหญ่ยังคงพักอยู่ที่สหรัฐฯ อาจด้วยธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามคาด หรือจากเดิมประเมินกันไว้ 4 ครั้ง แต่ลงมาเพียง 2 ครั้ง
ต่างชาติยังไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เร็ว?
นี่ก็น่าจะเป็นทั้งคำถามและคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพราะล่าสุด ทุกฝ่ายต่างยอมรับแล้วว่า จีดีพีปี 2568 ของไทย จะเติบโตไม่ถึง 3% หรืออย่างมาก อาจได้เพียง 2.5%
ขณะที่บางสำนักวิเคราะห์ประเมินไว้จะลงมาเหลือกว่า 1% เท่านั้น
จึงย้อนกลับมาถามตัวเราเองว่า หากเราเป็นต่างชาติ เราจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศที่จีดีพีรูดลงมาแทบจะติดลบหรือไม่
ส่วนตัวเชื่อว่า ทุกคนน่าจะพอตอบคำถามนี้ให้กับตัวเองได้
ขณะที่หลายประเทศที่เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ จะมีตัวเลขจีดีพีเติบโตมากกว่าไทย
ไม่เพียงเท่านั้น
เพราะว่ากันว่า หากหุ้นไทยจะวิ่งไปข้างหน้าได้ ต้องเหลือบมองทางเหนือประเทศขึ้นไปยังหุ้นประเทศจีนด้วย
หากเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ของประเทศจีน ยังไม่ออกสตาร์ทที่บ่งบอกว่าจะกลับเป็นขาขึ้น
ตลาดหุ้นไทย ก็น่าจะยังยากที่จะวิ่งขึ้นได้เช่นกัน
นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาด้านการเมืองที่ยังฝุ่นตลบ นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ล่าสุด ขุนคลังยอมรับว่าจะต้อง “ทบทวน” การผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี และอีกหลากปัจจัยในประเทศ
เรื่องเหล่านี้ต่างชาติต่างจับตาและติดตามกันทั้งนั้น
แม้หุ้นไทยจะมีเม็ดเงินจาก Thai ESGX เข้ามาในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ (พ.ค.-มิ.ย.)
แต่ไม่น่าจะช่วยดันมากนัก เพราะเงินที่คาดกันไว้ (เม็ดเงินใหม่) นั้น มีเพียง 2 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.เผยการระดมทุนของกองทุน Thai ESGX จำนวน 37 กองทุนจากการเสนอขายครั้งแรก (IPO) เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 68 จนถึง 8 พ.ค. 68 มีมูลค่าการระดมทุนรวม (เพียง) 840 ล้านบาท
คำว่า “เพียง” ที่ส่วนตัวเติมเข้าไปเอง
เพราะตัวเลข 840 ล้านบาทดังกล่าวนั้น บุคคลในวงการตลาดทุนต่างมองว่า “น้อยมาก”
ตัวเลขนี้จึงยังไม่น่าเพียงพอต่อการเพิ่มอำนาจในการซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ได้สักเท่าไหร่ ขนาดกองทุนรวม “วายุภักษ์ หนึ่ง” ที่มีมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท แม้จะมีรูปแบบลงทุน “เชิงรับ” มากกว่า “เชิงรุก”
แต่ก็จะเห็นว่า ยังไม่สามารถประคองดัชนีหุ้นไทยได้มากนัก
อย่างที่เราทราบกันหุ้นไทยฝากผีฝากไข้ไว้กับต่างชาติเยอะ เพราะสถาบันเรายังไม่เข้มแข็งพอ
หากต่างชาติยังไม่หวนกลับจริงจัง
หุ้นไทยจึงน่าจะยากที่จะไปต่อได้ อย่างมาก คงวิ่งอยู่ในกรอบแคบ ๆ ไปเรื่อย ๆ
ธนะชัย ณ นคร