
“เมย์แบงก์” ชู 7 หุ้นเด่น น่าสะสม ฝ่ามรสุมการเมืองไทย
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินการเมืองไทยขาดเสถียรภาพ แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นน่าสะสม รับปัจจัยภายนอกและโอกาสฟื้นตัวในประเทศ นำโดย CCET, PTTEP, SPRC, WHA, PR9, TLI และ ADVANC
ผู้สื่อข่าวรายงาน จากเหตุการณ์คลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ สมเด็ดฮุน เซน ความยาว 17 นาที ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์หนักถึงการเจรจาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา อีกทั้งก่อนจะเกิดเหตุคลิปเสียง พรรคเพื่อไทย (พท.) ยังเผชิญความขัดแย้งกับพรรคร่วมอย่าง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ต่อมาประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า ในมุมมองด้านการเมืองฝ่ายนักวิเคราะห์เห็นภาพรวมที่อาจเกิดขึ้นได้ 4 แนวทาง โดยกรณีที่ดีที่สุดและมีแนวโน้มมากที่สุด คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประกาศลาออกจากตำแหน่งโดยเร็ว ขณะที่ พรรคร่วมรัฐบาลยังคงทำหน้าที่บริหารประเทศต่อภายใต้ผู้นำคนใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานของรัฐบาลมีความต่อเนื่องและไม่กระทบต่อการจัดทำงบประมาณปี 69
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการยุบสภาและงบประมาณมีความล่าช้า ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังเห็นปัจจัยรองรับอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ งบลงทุนปี 68 ที่ยังมีวงเงินเหลืออีกมาก โดยในช่วงครึ่งแรกปี 68 มีการเบิกจ่ายเพียง 26% และงบประมาณโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 157,000 ล้านบาท ที่ยังไม่ถูกใช้งานถูกเปลี่ยนวัตถุประสงค์มาใช้เพื่อการลงทุนระยะสั้นแล้ว
ในด้านการลงทุนฝ่ายนักวิเคราะห์เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากภาคเอกชน โดยไทยได้เริ่มต้นการเจรจาการค้ากับสหรัฐอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยข้อเสนอของสหรัฐ คือ การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น ลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และการควบคุมแหล่งกำเนิดสินค้าล้วนเป็นสิ่งที่ไทยสามารถตอบสนองได้ ขณะเดียวกัน ตัวเลขการออกใบรับรองของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพิ่มขึ้น 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยข้างต้นนับเป็นสัญญาณเชิงบวก บ่งชี้ว่า การลงทุนภาคเอกชนกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวหลังหดตัวติดต่อกันมา 4 ไตรมาสอีกทั้งการอนุมัติโครงการ BOI ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนหน้ายังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 30% ในปี 67 และเร่งตัวขึ้นถึง 128% ในไตรมาส 1/68 สะท้อนแนวโน้มการลงทุนที่น่าจะเติบโตได้ดีขึ้นในระยะถัดไป
ทั้งนี้ แม้ฝ่ายนักวิเคราะห์ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET Index ณ สิ้นปี 68 เหลือ 1,290 จุด จากเดิม 1,410 จุด โดยลดสมมติฐาน P/E เหลือ 14.5 เท่า จาก 15.5 เท่า เพื่อสะท้อนแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัว พร้อมปรับลดประมาณการ EPS ของดัชนีจาก 91.2 เหลือ 88.6 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ประมาณ 3%
แต่ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมองว่าความเสี่ยงด้าน Downside ของดัชนี SET ค่อนข้างจำกัด ปัจจัยสนับสนุน คือ Earnings yield gap ที่ขยับขึ้นมาที่ระดับ 6.5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 4.3% โดยส่วนต่างที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2.2% นี้ ฝ่ายนักเคราะห์เชื่อว่าเพียงพอที่จะชดเชยกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงในปัจจุบัน
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงให้น้ำหนักกับหุ้น กลุ่มพลังงาน และ โทรคมนาคม ขณะที่เริ่มมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นต่อ กลุ่มธนาคาร และยังคงมีมุมมอง “เชิงลบ” ต่อ กลุ่มค้าปลีก เนื่องจากความต้องการบริโภคภายในประเทศยังอ่อนแอและผู้บริโภคยังมีภาระหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งจะกดดันผลประกอบการของภาคค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ กลุ่มธนาคารอาจเผชิญความเสี่ยงจาก NPL ที่เพิ่มขึ้น และแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ซึ่งจะกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในทางกลับกัน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังงาน จะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ส่วนระดับมูลค่ายังอยู่ในจุดที่น่าสนใจทั้งจากมุม P/BV ที่ต่ำและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง และ กลุ่มโทรคมนาคม ก็ยังคงน่าสนใจจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลงอย่างชัดเจน
ในแง่ของหุ้นรายตัวฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงแนะนำ “ซื้อ” กลุ่มต่อไปนี้ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET ให้ราคาเป้าหมาย 4.28 บาท, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาเป้าหมาย 110 บาท และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท ส่วน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 2.84 บาท โดยหุ้นที่กล่าวมาข้างต้นเป็นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยภายนอกและมีโอกาสจากข้อตกลงการค้าในอนาคต
ขณะที่ ในกลุ่มหุ้นที่อิงกับปัจจัยภายในประเทศยังคงชื่นชอบ 3 หุ้นพร้อมแนะนำ “ซื้อ” ดังนี้ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ให้ราคาเป้าหมาย 23.30 บาท บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI ราคาเป้าหมาย 9.30 บาท และได้เพิ่ม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ให้ราคาเป้าหมาย 269.00 บาท ซึ่งเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มโทรคมนาคมเข้าไว้ในรายชื่อหุ้นแนะนำเพิ่มเติมด้วย