
BKA ผนึก BAM-UOB ปั้นโมเดลบ้านมือสองครบวงจร ตั้งเป้าขาย 500 หลังต่อปี – ดันมาร์จิ้นสูง
BKA ร่วมลงนาม BAM-UOB เปิดเกมรุกตลาดบ้านมือสอง พัฒนาโมเดลรีโนเวทบ้านครบวงจร หวังเร่งการขายทรัพย์ NPA คุณภาพสูง พร้อมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 3% นาน 3 ปี ตั้งเป้าขาย 500 หลังต่อปี หนุนรายได้เติบโตระยะยาวและดันมาร์จิ้นสูง
บริษัท บางกอก แอสเซท อิน เดอะกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) หรือ UOB ในการพัฒนาโมเดลรีโนเวทบ้านมือสองแบบครบวงจร หรือ “Fix and Flip” โดย BAM ตั้งเป้าลดระยะเวลาการถือครอง NPA ให้เหลือไม่เกิน 4 ปี 2 เดือน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพันธมิตรในการฟื้นฟูและระบายทรัพย์ ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ BKA
นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKA เปิดเผยว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการปรับปรุงและจำหน่ายบ้านมือสองมาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี ด้วยกระบวนการที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตกแต่งผิวเผิน แต่รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบประปา และการออกแบบใหม่ให้ตอบโจทย์ครอบครัวยุคปัจจุบัน ส่งผลให้บ้านที่ผ่านการรีโนเวทสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่เหมาะสม พร้อมมาตรฐานคุณภาพเทียบเท่าบ้านใหม่
โดย BKA ตั้งเป้าขยายศักยภาพในการรีโนเวทบ้านจากระดับ 300-500 หลังต่อปี เป็น 400-500 หลังต่อปี โดยจะใช้โมเดลความร่วมมือกับ BAM และ UOB เป็นกลไกสำคัญ ทั้งนี้ BKA เฉลี่ยใช้เวลา 8 เดือน-1 ปีต่อหนึ่งโครงการ ตั้งแต่วันรับทรัพย์จนถึงการจำหน่าย ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นเมื่อเทียบกับการดำเนินการของ BAM โดยลำพังที่ใช้เวลาถือครองเฉลี่ยสูงถึง 8 ปีต่อหลัง
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการใหญ่ BAM เปิดเผยว่า ปัจจุบัน BAM มีทรัพย์สินรอการขายมากกว่า 24,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 72,000 ล้านบาท โดย BAM มีศักยภาพในการระบายทรัพย์ได้เพียง 300-500 ยูนิตต่อปี หรือไม่เกิน 1,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งหากไม่มีพันธมิตรที่มีความสามารถในการบริหารจัดการทรัพย์อย่างครบวงจร อย่าง BKA เข้ามาเป็นพันธมิตร อาจต้องใช้เวลานานถึง 25 ปีจึงจะระบายพอร์ตทรัพย์ได้หมด
เป้าหมายของ BAM คือการลดระยะเวลาการถือครองเหลือไม่เกิน 4 ปี 2 เดือน ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยกำลังของบริษัทเพียงลำพัง จึงได้ร่วมมือกับ BKA เพื่อเร่งกระบวนการระบายทรัพย์แบบมีประสิทธิภาพ โดย BAM จะส่งมอบทรัพย์ให้พันธมิตรดำเนินการรีโนเวทและขายภายในเวลาเริ่มต้น 6 เดือน และขยายได้เป็นระยะ ๆ ครั้งละ 3 เดือน โดยไม่มีภาระต้นทุนการถือครองในช่วงเวลาดังกล่าว
ด้านนายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ UOB ระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ช่วยให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อบ้านมือสองได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากทรัพย์สินมีการรีโนเวทโดยมืออาชีพภายใต้มาตรฐานที่ชัดเจน พร้อมเอกสารและกระบวนการที่โปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มทรัพย์ราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มี real demand จำนวนมากแต่มักจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยาก
ฉะนั้นธนาคารจึงสามารถปล่อยสินเชื่อในอัตราที่แข่งขันได้ โดยเสนอเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.99% ในช่วง 3 ปีแรก และอนุมัติวงเงินตามราคาขายจริงของบ้านที่ได้รับการรีโนเวท ขณะที่ก่อนหน้านี้ บ้านมือสองจำนวนมากประสบปัญหาวงเงินสินเชื่อต่ำกว่าราคาขายจริง เนื่องจากราคาประเมินมักต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง และผู้ให้กู้ยังมีความกังวลต่อคุณภาพของทรัพย์สินที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุง
สำหรับความร่วมมือในช่วงปีแรก BAM จะส่งมอบทรัพย์ให้ BKA ดำเนินการ 10 รายการ เพื่อเป็นต้นแบบของโมเดล และมีแผนขยายเป็น 50-100 รายการต่อปี ในอนาคตอันใกล้ โดยในเชิงมูลค่าคาดว่าปีนี้อาจแตะระดับ 200-300 ล้านบาท และปีหน้าจะขยายเป็น 500-1,000 ล้านบาท ขณะที่ UOB คาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อจากโมเดลนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 1,000 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 500 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ การรีโนเวทบ้านมือสองของ BKA ไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงการตลาดและกำไร แต่ยังสนับสนุนแนวทาง ESG ผ่านการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดปริมาณการก่อสร้างใหม่ และสร้างทางเลือกให้แก่ประชาชนในระดับ middle market ได้เข้าถึงบ้านคุณภาพดีในทำเลที่ดี ในราคาที่ต่ำกว่าบ้านใหม่ถึง 30-40%
ความร่วมมือระหว่าง BKA, BAM และ UOB จึงเป็นการประสานพลังทั้งด้านซัพพลาย ความสามารถในการฟื้นฟูทรัพย์ และโครงสร้างสินเชื่อที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะช่วยยกระดับตลาดบ้านมือสองของไทยให้เข้าสู่ระบบอย่างยั่งยืนในระยะยาว