
BBL กำไรเงินลงทุนเด่น
BBL โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อตามประเภทธุรกิจ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 1. อุตสาหกรรมการผลิตและพาณิชย์ 27.6% 2. สาธารณูปโภคและบริการ 18.1%
คุณค่าบริษัท
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อตามประเภทธุรกิจ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 1. อุตสาหกรรมการผลิตและพาณิชย์ 27.6% 2. สาธารณูปโภคและบริการ 18.1% 3. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 11.9% 4. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 8.4% 5. เกษตรและเหมืองแร่ 2.9% 6. ธุรกิจอื่น ๆ 31.1%
BBL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 11,839.87 ล้านบาท ขยายตัว 0.28% จากไตรมาส 2/2567 แต่ลดลง 6.17% จากไตรมาส 1/2568 ที่มีกำไรสุทธิ 12,617.78 ล้านบาท กำไรไตรมาส 2 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 7% โดยปัจจัยบวกหลักมาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ดีกว่าคาดถึง 13.8% ลดลงเพียง 7.5% จากไตรมาส 1/2568 แม้รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิจะลดลง 19.9% จากไตรมาส 1/2568 หลังรายได้นายหน้าประกันชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในไตรมาส 1/2568 ที่ได้ปัจจัยหนุนจากการที่ลูกค้าเร่งซื้อประกันก่อนเริ่มใช้เงื่อนไข Copayment แต่ชดเชยด้วยกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้น 13.3% จากไตรมาส 1/2568 และมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 15.6% จากไตรมาส 1/2568 หลังจากขายทำกำไรตราสารหนี้มากขึ้น ส่วนการดำเนินงานอื่น ๆ ใกล้เคียงกับที่คาด โดยรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิลดลง 0.6% จากไตรมาส 1/2568 จากผลของส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบไตรมาส 1/2568 ตามทิศทางดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงเร็วกว่าต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงสินเชื่อรวมที่ลดลง 0.3% จากไตรมาส 1/2568 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 3.2% จากไตรมาส 1/2568 ทำให้ Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 45.2% จาก 45.5% ในไตรมาส 1/2568
ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีสัญญาณเชิงลบจาก NPL Ratio ที่สูงขึ้นมาที่ 3.9% จาก 3.6% ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งบริษัทระบุว่าเป็นลูกหนี้กลุ่มปรับโครงสร้างรายเดิมที่ชำระหนี้ล่าช้าทำให้มีการปรับชั้นลูกหนี้ลงเป็น NPL แต่ไม่ได้สร้างภาระในการตั้งสำรองเพิ่มให้กับ BBL เพราะเคยตั้งสำรองไว้ครบแล้ว ส่วนการตั้งสำรองในไตรมาส 2/2568 ที่เพิ่มขึ้น 18.4% จากไตรมาส 1/2568 เป็นผลจากการตั้งสำรองพิเศษ (Management Overlay) เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น
บล.กสิกรไทย คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในครึ่งหลังของปี 2568 เชื่อว่า BBL มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง เช่น สินเชื่อธุรกิจที่ 63% ของสินเชื่อรวม หากอิงจากการคำนวณของ บล.กสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง 0.25% กำไรของ BBL จะได้รับผลกระทบ 9.4% เทียบกับผลกระทบเฉลี่ยต่อกลุ่มธนาคารที่ 5%
ข้อมูลจาก LSEG Consensus สำหรับ BBL ระบุว่า ประมาณการรายได้รวมปี 2568 ที่ 173,441.01 ล้านบาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 44,104.85 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 163.05 บาท จาก 20 โบรกเกอร์
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิในครึ่งหลังปี 2568 ของ BBL คงคาดจะปรับลดลงเมื่อเทียบครึ่งหลังของปี 2567 และเทียบครึ่งแรกของปี 2568 จากฐานกำไรเงินลงทุนที่สูงกว่าปกติ และรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ปรับลงตามการขยายสินเชื่อที่เข้มงวด และ NIM ที่ลดลง แต่จะชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลง หนุนให้คงคาดว่า BBL จะมีกำไรสุทธิในปี 2568 ที่ 42,490 ล้านบาท ลดลง 6% จากปี 2567 ก่อนจะกลับมาโต 3.8% ในปี 2568
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น BBL ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 1 ส.ค. 2568 ที่ 148.50 บาท) เทรดที่ P/E 5.99 เท่า ต่ำกว่า P/E กลุ่มธนาคาร ที่ 7.45 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น BBL อยู่ที่ 0.50 เท่า ต่ำกว่า P/BV กลุ่มธนาคาร ที่ 0.65 เท่า