11 หุ้น “ไฟแนนซ์” วิ่งคึก! รับข่าว “กนง.” หั่นดอกเบี้ย 0.25%

11 หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์บวกแรงรับข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงินประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 1.50% มีผลทันที มองเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 เผชิญแรงกดดันภาษีสหรัฐฯ และการแข่งขันในภูมิภาค


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ส.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ปรับตัวขึ้นยกแยง ณ เวลา 14.30 น. รับข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.50% นำโดย บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 18.90 บาท บวก 1.30 บาท หรือ 7.39% สูงสุดที่ระดับ 19.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 18.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9,147.03 ล้านบาท

บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD อยู่ที่ระดับ 22.90 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 4.09% สูงสุดที่ระดับ 23.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 22.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 605.52 ล้านบาท

บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS อยู่ที่ระดับ 107.50 บาท บวก 3.50 บาท หรือ 3.37% สูงสุดที่ระดับ 108.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 104.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15.32 ล้านบาท

บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC อยู่ที่ระดับ 38.50 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.36% สูงสุดที่ระดับ 38.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 37.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 371.23 ล้านบาท

บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP อยู่ที่ระดับ 3.18 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 3.25% สูงสุดที่ระดับ 3.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.06 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 66.68 ล้านบาท

บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK อยู่ที่ระดับ 3.78 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 2.16% สูงสุดที่ระดับ 3.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.70  บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.61 ล้านบาท

บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC อยู่ที่ระดับ 1.01 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 2.02% สูงสุดที่ระดับ 1.02 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 0.98 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.53 ล้านบาท

บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO อยู่ที่ระดับ 1.61 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 2.55% สูงสุดที่ระดับ 1.64 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.56  บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12.02 ล้านบาท

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC อยู่ที่ระดับ 30.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.69% สูงสุดที่ระดับ 30.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 29.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 912.44 ล้านบาท

บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT อยู่ที่ระดับ 12.20 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.67% สูงสุดที่ระดับ 12.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 220.76 ล้านบาท

บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG อยู่ที่ระดับ 1.01 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 1.00% สูงสุดที่ระดับ 1.02บาท ต่ำสุดที่ระดับ 0.99 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.51 ล้านบาท

สืบเนื่องมาจาก นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ระบุคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง จึงมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งนี้

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต ซึ่งมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปีจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ

พ้อมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง โดยต้องติดตามผลกระทบของการเก็บภาษี transshipment และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นไม่ได้ลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนในอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้

ขณะที่สินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบางภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัด

Back to top button