
SKIN ลุยขยายพอร์ต “เมกอัพ–เวชสำอาง” เจาะตลาดใหม่ CLMV เสริมฐานโตระยะยาว
SKIN เดินหน้าขยายไลน์เมกอัพ–เวชสำอาง หลังเข้าเทรด mai ลั่นเป้าขยายฐานลูกค้าในตลาด CLMV รับดีมานด์ความงามโตต่อเนื่อง พร้อมชูจุดแข็งเข้าใจผิวคนเอเชีย ดันแบรนด์ไทยแข่งตลาดภูมิภาคอย่างมั่นใจ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้า ออกสินค้าใหม่ และรุก Beauty Store เป็น Destination หลัก ตั้งเป้าโต 2 เท่าใน 3 ปี
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN เปิดเผยว่า การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยเชื่อว่าปัจจัยสำคัญมาจากความเชื่อมั่นใน โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์การเติบโตที่ชัดเจนของบริษัท และการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ที่อยู่ในระดับเหมาะสม สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท
สำหรับแผนงานหลังการระดมทุน บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 เท่าภายใน 3 ปี โดยนำเงินทุนไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างแบรนด์ และขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมความงามและขยายไลน์สกินแคร์ เวชสำอาง และเมกอัพแคร์
นายชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า จุดแข็งของ SKIN อยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ Pain Point ของผู้บริโภค โดยคงคุณภาพมาตรฐานสากลในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทตั้งแต่ก่อตั้ง ล่าสุดผลิตภัณฑ์ใหม่ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่
นอกจากนี้ นายชาญวิทย์ยังเปิดเผยว่า ในช่วง 3 ปีหลังจากนี้จะเป็นช่วงสำคัญในการขยายและสร้างฐานลูกค้า โดยเฉพาะในตลาด CLMV ที่เริ่มมีการวางจำหน่ายสินค้าและได้รับกระแสตอบรับที่ดี แม้จะยังไม่รุกตลาดเต็มรูปแบบ โดยจุดแข็งของแบรนด์คือความเข้าใจของสภาพผิวและภูมิอากาศร้อนชื้น ทำให้สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์จากประเทศที่มีภูมิอากาศแตกต่าง เช่น เกาหลีและจีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านโครงสร้างรายได้ก่อนหน้านี้มาจากสกินแคร์และเวชสำอางเป็นโดยมีสัดส่วนหลักราว 40% ซึ่งปัจจุบันไลน์สินค้าใหม่ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างมอยส์เจอไรเซอร์และเครื่องสำอางเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของรายได้หลักยังคงมาจากร้านค้าสะดวกซื้อ ใกล้เคียงกับช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ บริษัทเริ่มรุกขยายตลาดไปยัง Beauty Store ซึ่งคาดว่าจะเป็น “Destination” สำคัญของผู้บริโภคและช่วยผลักดันการเติบโตในอนาคต ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ออฟไลน์อยู่ที่ 65% และออนไลน์อยู่ที่ 35% ทั้งนี้บริษัทคาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อสินค้า
ขณะที่แนวโน้มตลาดสกินแคร์และเครื่องสำอางไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังคงเป็นหมวดสินค้าอุปโภคที่ผู้บริโภคพร้อมใช้จ่าย เพราะถือเป็นการสร้างความสุขและการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน
นายชาญวิทย์ ตอกย้ำว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันจะเข้าสู่ยุค Smart Consumer ที่ตัดสินใจซื้อจากข้อมูลจริง ใส่ใจในเรื่องของส่วนผสม ส่วนประกอบต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมไปถึงประสิทธิภาพของสินค้า และผลการทดสอบ ในการเลือกซื้อสินค้า หากบริษัทมีความโปร่งใสและนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ก็จะสามารถครองใจตลาดได้ในระยะยาว นายชาญวิทย์
ด้าน นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ SKIN กล่าวว่า ความสำเร็จในการซื้อขายวันแรกของหุ้น SKIN ถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อโมเดลธุรกิจและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร แม้บรรยากาศการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะตลาดหุ้น IPO จะไม่สดใสนัก แต่ด้วยแพชชั่นและการวางกลยุทธ์การกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม ทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจและพร้อมเข้ามามีส่วนร่วม
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้หุ้น IPO ประสบความสำเร็จได้นั้น มาจากการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและโปร่งใสแก่ผู้ลงทุน ประกอบกับการที่กิจการมีโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการกำหนดราคาและการจัดสรรหุ้นที่เหมาะสม ทั้งหมดนี้เมื่อทำงานสอดประสานกัน ย่อมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยให้หุ้นน้องใหม่สามารถได้รับความสนใจจากนักลงทุนและก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด