
“ทรัมป์” ขึ้นภาษียา 100% สะเทือนอุตสาหกรรมโลก–ไทยเสี่ยงต้นทุนสาธารณสุขพุ่ง
รศ.ดร.อนุสรณ์ ชี้มาตรการภาษีสหรัฐฯ มูลค่านำเข้ายากว่า 2.13 แสนล้านดอลลาร์ กระทบผู้ผลิตยุโรป–ญี่ปุ่น ดันต้นทุนสาธารณสุขไทยพุ่ง และเสี่ยงฉุดส่งออกไตรมาส 4
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ก.ย.68) รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินลงทุนสูงมากในการวิจัยและพัฒนา จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิบัตรเพื่อปกป้องผลประโยชน์ แต่เนื่องจากยาและเวชภัณฑ์เป็นปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อมนุษย์ จึงมีข้อยกเว้นในการบังคับใช้สิทธิบัตรในบางกรณี
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร มีผลบังคับใช้ 1 ตุลาคมนี้ จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยาโลก แม้ไทยจะส่งออกยาสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่จำกัด แต่จะได้รับผลกระทบจากการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์ราคาแพง ทำให้ต้นทุนสาธารณสุขเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อระบบสาธารณสุขในระยะยาว ไทยจำเป็นต้องเร่งลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนายาเพื่อพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น
อัตราภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตยาชั้นนำในยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ครองสัดส่วนการส่งออกยามายังสหรัฐฯ ในระดับสูง โดยบริษัทยาเหล่านี้อาจเผชิญต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคายาในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิต ขณะเดียวกัน อาจทำให้บริษัทยาบางรายต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตหรือปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษีดังกล่าว
นอกจากนี้ มาตรการภาษียังเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยบริษัทยาที่ตั้งโรงงานหรือมีการลงทุนผลิตในสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่เครือข่ายการผลิตของบริษัทยาข้ามชาติซับซ้อนและกระจายทั่วโลก จึงอาจทำให้เป้าหมายการย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ ไม่บรรลุผล ขณะที่ราคายาทั่วโลก รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น สหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวมีมูลค่านำเข้ายาเมื่อปีที่แล้วกว่า 2.13 แสนล้านดอลลาร์
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การตั้งกำแพงภาษีนำเข้ารอบล่าสุดยังขยายไปยังสินค้าอุตสาหกรรมอื่น เช่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ (25%) เฟอร์นิเจอร์ตู้ครัวและอ่างล้างหน้า (50%) ต่อเนื่องจากที่เคยใช้กับเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก อีกทั้งอาจมีการเพิ่มอัตราภาษีในอนาคต เพื่อชดเชยรายได้หากศาลสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งเก็บภาษีชุดก่อนหน้า
ขณะที่ไทยยังมีความเสี่ยงถูกเก็บภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment Tariff) ในอัตรา 40% เนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกไทยมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบนำเข้าถึง 40% ของมูลค่าการส่งออก อีกทั้งอาจเผชิญภาษีพิเศษภายใต้ มาตรา 232 ที่อัตราไม่ตายตัว เช่น ภาษีเหล็กสูงสุด 50% ตามปริมาณการใช้เหล็กในกระบวนการผลิต ซึ่งจำเป็นต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ให้ได้ข้อสรุปในรัฐบาลชุดนี้
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังเตือนว่า การส่งออกไทยไตรมาส 4 มีความเสี่ยงหดตัว จากทั้งมาตรการภาษีนำเข้ารายอุตสาหกรรมและแนวโน้มการค้าทั่วโลกที่ชะลอตัว โดยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การส่งออกชะลอลงเหลือ 5.8% จาก 11% เดือนก่อนหน้า และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการส่งออกทองคำซึ่งไม่ก่อให้เกิดการผลิตและการจ้างงานในประเทศ
“แม้อัตราว่างงานรวมยังต่ำ แต่ผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานในระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคส่งออก เกษตร และท่องเที่ยว หากชะลอตัวต่อเนื่อง จะนำไปสู่การลดชั่วโมงทำงาน ลดค่าจ้าง และเลิกจ้างมากขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงรุกชะลอการเลิกจ้าง และเร่งลงทุนโครงการสร้างงาน สร้างรายได้ แทนการพึ่งพามาตรการแจกเงิน” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญ “หลุมรายได้” หลังวิกฤตโควิดกว่า 6 ล้านล้านบาท จึงจำเป็นต้องสร้างรายได้ใหม่และกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ขณะที่ตลอด 5 ปีหลังวิกฤติดังกล่าว ไทยยังคงเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ปัจจัยที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน คือการลงทุนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงในอนาคต