
“ชัยยศ” มอง SET ไซด์เวย์อัพ แนะจับตางบ “บจ.” ไตรมาส 3 พร้อมชู 5 หุ้นเด่น
นายชัยยศ จิวางกูร มอง SET ช่วงนี้ไซด์เวย์อัพ แนะจับตางบไตรมาส 3/68 พร้อมเลือก 5 หุ้นเด่น SCB, KBANK, ADVANC, TRUE, CENTEL ผลงานโดดเด่น พร้อมติดตามประชุมจีน และปัญหาชัตดาวน์สหรัฐ
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (22 ต.ค.68) ว่าทิศทางดัชนี SET Index ยังต้องติดตามปัจจัยผลประกอบการของ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ประจำไตรมาส 3/2568 ควบคู่ โดยในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็นกลุ่มแรกที่ทยอยประกาศผลประกอบการออกมา ซึ่งโดยรวมถือว่าทำได้ดี หลายแห่งสามารถควบคุม NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกลุ่มต่อไปที่นักลงทุนควรจับตา คือ กลุ่ม ICT และพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยประกาศผลประกอบการในระยะถัดไป อาทิ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รวมถึง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ซึ่งผลการดำเนินงานอาจออกมาได้ทั้งในเชิงบวกและลบ
นายชัยยศ กล่าวต่อว่า ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ภาวะ SET Index ยังคงมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยกลุ่มหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดีในช่วงนี้ ยังคงเป็นเป้าหมายของแรงเก็งกำไรในทางกลับกันกลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาไม่ดีกลับเผชิญแรงขาย ส่งผลให้ดัชนี SET มีแนวโน้มปรับขึ้นไปยืนเหนือระดับแนวต้านสำคัญที่ 1,300 จุดได้ค่อนข้างยาก
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาตอบรับข่าวเชิงบวกจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาครัฐไปแล้วในระดับหนึ่งทำให้กลุ่มหุ้นที่เคยได้รับอานิสงส์จากนโยบายดังกล่าว อาทิ กลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยวไม่ได้ตอบรับมากนัก ซึ่งภาพรวมจึงทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะซึมตัว
หากย้อนมากล่าวถึงประเด็นผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร แม้ภาพรวมจะออกมาดี โดยเฉพาะด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นและสามารถควบคุมหนี้ NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในอีกมุมหนึ่งสิ่งนี้อาจสะท้อนว่าธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อลดลงหรือปล่อยอย่างจำกัด ประเด็นที่ต้องจับตาว่าในระยะกลางจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของผลประกอบการหรือไม่ นายชัยยศ กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีช่องทางในการสร้างรายได้หลายด้านแม้การเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัว แต่ธนาคารได้หันมาเสริมรายได้ในส่วนที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-interest income) โดยเฉพาะรายได้จากการลงทุนและการจำหน่ายกองทุน
แนวโน้มในระยะต่อไป มองว่า เมื่อธนาคารสามารถบริหารจัดการคุณภาพหนี้ได้ดีขึ้น ความเชื่อมั่นก็จะกลับมาและอาจเห็นการทยอยปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยรวมถึง GDP โดยรวม
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน จากภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/68 ที่ออกมาดีกว่าคาด ฝ่ายนักวิเคราะห์ เลือกหุ้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) ของกลุ่ม สาเหตุที่เลือก 2 ตัวนี้ เนื่องจากผลประกอบการของทั้ง SCB และ KBANK ออกมาดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า
สำหรับกลุ่ม ICT และกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่จะทยอยประกาศผลประกอบการในช่วงต่อไปนั้น มองว่า ICT ยังคงมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี โดยเฉพาะ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2568 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง สืบเนื่องมาจากมีรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ต้นทุนของทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มลดลงจากการที่เพิ่งประมูลคลื่นความถี่ใหม่เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน โดยต้นทุนค่าเสื่อมของคลื่นดังกล่าวต่ำกว่าค่าเช่าคลื่นเดิมที่เช่าจาก NT ขณะที่ กลุ่มพลังงานอย่าง PTTEP อาจไม่ได้โดดเด่นมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงหลุดระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังมติ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการ “เที่ยวดีมีคืน” ถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวม แม้อาจไม่ถึงขั้นผลักดันตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง
อีกทั้ง มาตรการที่เปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ สามารถนำค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้ โดยกลุ่มโรงแรมจะได้อานิสงส์ต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/2568 และไตรมาส 1/2569 ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำเลือก CENTEL เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) ของกลุ่ม
นายชัยยศ ทิ้งท้ายถึงปัจจัยต่างประเทศที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ขณะนี้ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมาธิการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2568 และยังอยู่ในช่วงการประชุม โดยถือเป็นการประชุมสำคัญ เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีดีมานด์สูงของโลกว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกหรือไม่
รวมทั้ง สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯเป็นอีกประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความไม่แน่นอนจากปัญหาการเจรจางบประมาณของรัฐบาลกลางที่ทำให้เกิดภาวะ Government Shutdown บางส่วนต่อเนื่องมาประมาณ 40 วันแล้ว หากสถานการณ์ดังกล่าวยืดเยื้ออาจกระทบต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow)