
พาราสาวะถี
การลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาว่าด้วยเรื่องการถอนอาวุธหนัก มีการถอนเป็นพิธีแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของทั้งสองประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อค่ำของวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
การลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย–กัมพูชาว่าด้วยเรื่องการถอนอาวุธหนัก มีการถอนเป็นพิธีแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของทั้งสองประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อค่ำของวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังผู้นำของทั้งสองประเทศได้เซ็นในเอกสารร่วมกัน ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการถอนอาวุธเฟสที่ 2 ภายใน 3 สัปดาห์ และเฟสที่ 3 ดำเนินการในสัปดาห์ที่ 6 จะมีการแบ่งการถอนอาวุธเป็นล็อต แต่ละล็อตจะถอนอาวุธอะไรบ้างจะมีการพูดคุยกันระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ โดยจะต้องถอนพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเฟสไหนก็ตาม
ถามต่อว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไร ฝ่ายเขมรจะไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับประเทศไทย ตรงนี้คงต้องอาศัย คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือ AOT ทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบ เพื่อยืนยันความถูกต้อง โปร่งใสทั้งหมด เช่นเดียวกับเงื่อนไขว่าด้วยการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ตามข้อตกลงอยู่ในพื้นที่ฝั่งไหนก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายนั้นในการที่จะเก็บกู้ โดยมี AOT เป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์และให้การรับรอง จุดอ่อนไหวสำหรับประเทศไทยและต้องให้มีการพิสูจน์ให้เกิดความปลอดภัยคือ พื้นที่ปราสาทตาควายที่ทหารเขมรยึดครองอยู่เวลานี้
สองเรื่องหลักมีคณะผู้สังเกตการณ์เป็นตัวกลาง ประเด็นที่ต้องติดตามและกลายเป็นเรื่องร้อน เรียกทัวร์ลง อนุทิน ชาญวีรกูล แบบฉ่ำ ๆ นั่นก็คือ กรณีปัญหาพื้นที่ชายแดนที่ถูกรุกล้ำ สำหรับประเทศไทยคือ บ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่เสี่ยหนูดันไปให้สัมภาษณ์ว่า พื้นที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ชาวเขมรเท่านั้นที่รุกล้ำ แต่คนไทยก็ไปรุกล้ำพื้นที่ของอีกฝ่ายด้วย ดังนั้น จึงต้องถอยกันทั้งสองฝั่ง ก่อนนำไปสู่การบริหารจัดการเพื่อความเป็นธรรม
ล่าสุด เสี่ยหนูได้มีการแก้ต่างแล้วว่าสิ่งที่สื่อสารไปนั้น ตนพูดตกหล่นคำว่าพื้นที่อ้างสิทธิ์ไป ไม่ได้กล่าวหาว่าคนไทยไปรุกล้ำพื้นที่ของเขมร แต่เป็นพื้นที่ซึ่งทั้งสองประเทศยังตกลงกันไม่ได้ โดยมีทั้งคนไทยและคนเขมรอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่าจะทันกับความรู้สึกของประชาชนที่เสียไปหรือไม่ เพราะในแง่ข้อเท็จจริงพื้นที่สองหมู่บ้านที่เป็นปัญหานั้น มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย การที่ท่านผู้นำสื่อสารแบบนี้ ย่อมจะทำให้อีกฝ่ายใช้เป็นข้ออ้าง นำมาต่อรอง ส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ยากเข้าไปอีก
อย่างไรก็ตาม ปมความขัดแย้งกับเขมรเมื่อมีข้อตกลงที่ได้เซ็นร่วมกันโดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสักขีพยาน แม้คนไทยส่วนใหญ่จะไม่ไว้วางใจอีกฝ่าย แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้น ย่อมทำให้ผู้นำเขมรไม่ว่าจะ ฮุน มาเนต หรือ ฮุน เซน จะหาเหตุบิดพลิ้วได้ยาก กลับกลายเป็นว่าปมการลงนามในข้อตกลงบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยู ระหว่างเสี่ยหนูกับผู้นำสหรัฐฯ เรื่องของ แร่หายาก หรือแรร์เอิร์ธ ต่างหากที่คนให้ความสนใจ ติดตามว่าสิ่งที่ดำเนินการไป มีการลักไก่ และทำให้ประเทศเสียประโยชน์หรือไม่
ก่อนหน้านั้นยุครัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ที่เกิดความล่าช้าในการเจรจาและมีบทสรุปต่อการเจรจาเรื่องมาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีหนักหน่วงว่า จะทำให้ประเทศเสียโอกาส และอาจจะถูกยักษ์ใหญ่ของโลกเอารัดเอาเปรียบ แต่สุดท้ายบทสรุปก็เป็นไปตามกระบวนการ เหมือนที่ชาติอื่น ๆ ได้รับ กลับไม่มีคำขอโทษ หรือชื่นชมต่อการดำเนินการดังกล่าว หนนี้จึงน่าคิด รัฐบาลโคตรอภิสิทธิ์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดต่อการตัดสินใจครั้งนี้หรือไม่
ต้องยอมรับความจริงว่าเรื่องนี้ ไม่มีการชี้แจงแถลงไขใด ๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ จู่ๆ ก็ปรากฏเป็นข่าวว่ามีการลงนามกันเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งฟัง สุชาติ ชมกลิ่ม รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อ้างว่า ไม่ได้เป็นการลักไก่ไปเซ็น ก่อนที่จะดำเนินการได้ปรึกษากับคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว เป็นแค่ข้อตกลงและไม่ได้ผูกมัดใดๆ ต้องไปถามคนส่วนใหญ่ว่าเชื่อตามนั้นหรือไม่
ความเร่งรีบมันก่อให้เกิดพิรุธ เพียงเพื่อจะเอาใจสหรัฐฯ หรือมีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าไทยจะไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องชี้แจงโดยละเอียด เมื่อเซ็นไปแล้วจะทำยังไง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความเห็นที่น่ารับฟังว่า ยังไม่สายเกินไปที่รัฐบาลในระหว่างที่จะไปเจรจาในรายละเอียด หรือนำสิ่งเหล่านี้ไปสู่การปฎิบัติจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งที่ รัฐบาลจะต้องเปิดเผยความจริงให้แก่ประชาชน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดในระหว่างการเจรจา แต่ ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ก่อนหน้านี้แล้วว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการแลกเปลี่ยนเพื่อเจรจาต่อรองมีประเด็นอะไรบ้าง
ไม่เพียงเท่านั้น อภิสิทธิ์ยังสอนมวยเสี่ยหนูด้วยว่า แร่แรร์เอิร์ธที่ผ่านมาไทยนำเข้าจากออสเตรเลียเพื่อสกัดแล้วส่งออก ซึ่งกระบวนการมีหลายขั้นตอน โดยประเทศอื่นในภูมิภาคก็มีเรื่องนี้แต่ยังไม่มีประเทศไหนไปทำข้อตกลงแบบนี้ นายกฯ ตอบง่ายไปที่บอกว่าเป็นแค่เอ็มโอยูคงไม่ไปทำอะไร ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายมองว่าตกลงอะไรกันแล้วไม่ให้ความสำคัญ ดีที่สุดคือ รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญในการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำความเข้าใจว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร
ที่ต้องไม่ลืม เชื่อว่าอนุทินและคณะคงตระหนักคือ ไทยต้องได้รับความเป็นธรรมในเชิงผลประโยชน์ ผลกระทบที่ตามมา เช่น สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดคือ ทำบันทึกความเข้าใจสหรัฐฯ จะต้องไม่ได้รับสิทธิ์ผูกขาด เพราะประเทศพันธมิตรที่สำคัญอย่างจีน ก็มีความปรารถนาที่จะเข้ามาร่วมงานกับไทยเช่นกัน เหมือนที่อภิสิทธิ์บอก ประเด็นนี้เป็นความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคม ไทยเพิ่งจะรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 1 และ 2 จึงไม่ควรแสดงออกนอกหน้าว่าเอาใจประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นพิเศษ ต้องแสดงความชัดเจนว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย
อรชุน