GULF ย้ำถือหุ้น KBANK เพื่อผลตอบแทน ไม่เกี่ยวบริหารธนาคาร

GULF ชี้แจงกรณีธนาคารกสิกรไทยประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน ย้ำวัตถุประสงค์การถือหุ้นเป็นการลงทุนเชิงพอร์ตเพื่อสร้างผลตอบแทน ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหาร และไม่กระทบสิทธิในการซื้อขายหุ้นของบริษัท


บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ได้รับข้อซักถามจากผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อบริษัทฯ จากกรณีที่คณะกรรมการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน และได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2569

ในวันเดียวกัน KBANK ได้มีหนังสือขอความร่วมมือมายังบริษัทฯ เพื่อขอความร่วมมือมิให้บริษัทฯ จำหน่ายหุ้นของKBANK ในช่วงเวลาดังกล่าว

โดยบริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า การลงทุนในหุ้นของ KBANK ของบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่บริษัทฯและผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ไม่ได้มีการแต่งตั้งตัวแทนเข้าเป็นกรรมการหรือฝ่ายบริหารของ KBANK และไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการหรือกำหนดนโยบายของ KBANK รวมถึงนโยบายการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว

ทั้งนี้ การประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนของ KBANK ไม่ได้เป็นการจำกัดสิทธิของบริษัทฯ ในการซื้อหรือขายหุ้นของ KBANK แต่อย่างใด โดยทาง KBANK ต้องดำเนินการภายใต้กฏระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ ในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีหน้าที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น

สำหรับก่อนหน้าผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกระแสข่าวเกี่ยวข้องกับ “โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock)” ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เกิดขึ้น หลังก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568

โดยเป็นที่น่าจับตามองเนื่องจากมีเงื่อนไขการกำหนดราคารับซื้อคืนหุ้นสูงกว่าราคาซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานในช่วงเวลาประกาศอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาหุ้น KBANK ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 4.19% ในช่วง 2 วันทำการหลังประกาศ จากราคาปิดตลาดของวันที่ 29 ตุลาคม ที่ระดับ 179 บาท จนมาปิดที่ระดับ 186.50 บาท ในวันที่ 31 ตุลาคม พร้อมกับมีปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็นอย่างมากจากการเข้ามาเก็งกำไรในประเด็นข้างต้น

ทั้งนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) KBANK มีมติอนุมัติให้ธนาคารดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารทางการเงินของธนาคารภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 8,800 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 47,386,552 หุ้น (ราคาเฉลี่ยโดยประมาณ 185.73 บาทต่อหุ้น) หรือไม่เกิน 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของธนาคาร

ด้วยวิธีการซื้อแบบจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงระหว่างวันที่ 14 พ.ย. 2568 – 13 พ.ค. 2569 และราคาเสนอซื้อจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนวันซื้อหุ้นคืน บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ย โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร

การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินกองทุน โดยธนาคารคำนึงถึงความเพียงพอของเงินกองทุน สภาพคล่องส่วนเกินและผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร เนื่องจากในปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงระดับที่แข็งแกร่ง เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 21.60%

จากการตรวจสอบ มีกระแสข่าวระบุถึงกรณีสืบเนื่องจากการที่บอร์ด KBANK กำหนดเงื่อนไขราคารับซื้อสูงกว่าราคาซื้อขายบนกระดานอย่างมีนัยสำคัญ อาจมีลักษณะเข้าข่ายเป็นการรับซื้อทรัพย์สินจากผู้ถือหุ้นในราคาที่เป็นการเอื้อให้เกิดการได้รับผลประโยชน์จากธนาคารโดยไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และอาจขัดต่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องการรับซื้อทรัพย์สินใด ๆ จากกลุ่มบุคคลตามกำหนด เป็นเหตุให้บอร์ดบางส่วนเกิดความกังวลว่าหากมีผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารขายหุ้นออกมาบนกระดานในช่วงที่มีการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนนั้น จะเป็นการปฏิบัติโดยฝ่าฝืนกฎหมายและข้อกำกับดูแลของ ธปท.หรือไม่ แม้ว่าบอร์ดเป็นผู้อนุมัติเองไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้

แหล่งข่าว 2 รายที่ใกล้ชิดกับประเด็น ให้ข้อมูลกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในลักษณะตรงกันว่า มีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และขณะนี้มีกรรมการบางส่วนออกคำสั่งอย่างไม่เป็นทางการให้ฝ่ายบริหารระดับสูงไปดำเนินการเจรจาเพื่อเกลี้ยกล่อมผู้ถือหุ้นใหญ่หลายรายไม่ให้ดำเนินการขายหุ้นออกมาในช่วงระหว่างวันที่ 14 พ.ย. 2568-13 พ.ค. 2569 หรือคิดเป็นระยะเวลายาวนานถึง 6 เดือนในช่วงระหว่างที่ KBANK ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน และหากไม่ได้รับความร่วมมืออาจถึงขั้นมีการออกประกาศให้เป็นช่วง Silent Period ห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ทำการขายหุ้น (Lock Up) ที่ถือครองอยู่เลยทั้งจำนวน

โดยประเด็นนี้อาจเข้าข่ายเป็นการลิดรอนสิทธิ์ผู้ถือหุ้นของ KBANK และอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะต่อกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการกำกับดูแลของ ธปท.รวมถึงผู้ถือหุ้นรายที่เป็นนิติบุคคล ประเภท “บริษัท (มหาชน) จำกัด” ซึ่งมีผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอื่นเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ KBANK ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการเข้าซื้อหุ้น KBANK มาตั้งแต่ปี 2567 และภายหลังมีการขายทำกำไร ก่อนกลับเข้ามาซื้อใหม่จนกระทั่งมีสัดส่วนการถือครองอยู่ที่ประมาณ 3.25% ในช่วงเดือน มี.ค. 2568 และเพิ่มขึ้นเป็นเกินกว่าระดับ 5% ในเดือน พ.ค. 2568 และมีการขายออกมาบางส่วนในเดือนเดียวกัน ก่อนซื้อใหม่อีกครั้งในวันที่ 14 ต.ค. 2568 จำนวน 5.40 ล้านหุ้น ส่งผลให้ล่าสุดมีการถือครองอยู่ 119.15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 5.03% โดยมีต้นทุน “สูงสุด” อยู่ที่ 169.50 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับต้นทุนที่ต่ำมากเมื่อเทียบจากราคาซื้อขายบนกระดานในปัจจุบัน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า บริษัทได้รับการติดต่อเพื่อขอให้ไม่ทำการขายหุ้นจริง แต่ในมุมมองของตน ในฐานะผู้บริหารระดับสูง มีความเห็นว่ากรณีการซื้อหรือขายหุ้น KBANK ของบริษัท ถือเป็นสิ่งที่สามารถทำได้เป็นปกติวิสัยสำหรับการเป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง รวมทั้งสามารถกระทำได้เฉกเช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ทั่วไป เนื่องจากการลงทุนหุ้น KBANK มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อเป็นการลงทุนสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้น อันถือเป็นสาระสำคัญที่สุด

อย่างไรก็ดี หากมีการห้ามหรือสร้างข้อจำกัดในขายหุ้น KBANK อาจทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเสียประโยชน์หรือได้รับความเสียหายได้ โดยเฉพาะกรณีหากว่าราคาหุ้น KBANK มีการปรับตัวลดลงจนต่ำกว่าต้นทุนที่ GULF ถืออยู่ นั่นเท่ากับว่าผู้ถือหุ้นไม่เพียงแต่เสียโอกาส แต่ต้องเสียประโยชน์และได้รับความเสียหายจากการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในหุ้น KBANK ทันที โดยจะขอชี้แจงข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก่อนเปิดเผยรายละเอียดอื่นใดต่อไป

โดยตนยืนยันว่า GULF ไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ ตลอดจนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายเรื่องใดก็ตามของทาง KBANK เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงว่าแม้ปัจจุบัน GULF จะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KBANK แต่ไม่เคยมีการส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเลยแม้แต่คนเดียว

ขณะที่ทีมข่าวของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้มีการโทรศัพท์และส่งข้อความสอบถามไปยังนางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KBANK เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ และไม่มีการตอบกลับมาทางข้อความแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้นได้ แม้ว่ามีการเปิดเผยข้อมูลโดยแหล่งข่าวจำนวน 2 รายตามที่กล่าวถึงข้างต้น โดยยังคงต้องรอการชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงจากทาง KBANK หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า GULF เริ่มเข้าซื้อหุ้น KBANK ครั้งแรก เมื่อต้นปี 2567 โดยวันที่ 14 มี.ค. 2567 เข้าซื้อหุ้น 20.54 ล้านหุ้น หรือ 0.87% ก่อนขายออกไป จนพ้นจากรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ช่วงเดือน ก.ย. 2567 ต่อมา GULF กลับมาซื้ออีกครั้ง เริ่มจากวันที่ 13 มี.ค. 2568 เข้าซื้อเพิ่มอีก 77 ล้านหุ้น หรือ 3.25% ถัดมาวันที่ 18 เม.ย. 2568 เข้าซื้ออีก 5.68 ล้านหุ้น ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 82.68 ล้านหุ้น หรือ 3.46% วันที่ 13 พ.ค. 2568 เข้าซื้ออีก 12.51 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 164 บาท ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 123.93 ล้านหุ้น หรือ 5.23%

ขณะที่วันที่ 22 พ.ค. 2568 ขายหุ้นออก 9.15 ล้านหุ้น หรือ 0.386% ทำให้ถือหุ้นลดเหลือ 109.60 ล้านหุ้น หรือ 4.63% แต่หลังจากนั้น วันที่ 14 ต.ค. 2568 เข้าซื้อเพิ่ม 5.40 ล้านหุ้น หรือ 0.2278% ราคาสูงสุดหุ้นละ 169.50 บาท จนทำให้หลังการได้มา GULF ถือหุ้น KBANK จำนวน 119.15 ล้านหุ้น หรือ 5.023% ดังกล่าว

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น KBANK ล่าสุดประกอบด้วย 1) บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวน 324,517,651 หุ้น หรือ 13.70% 2) STATE STREET EUROPE LIMITED จำนวน 193,651,041 หุ้น หรือ 8.17% 3) SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED จำนวน 119,822,544 หุ้น หรือ 5.06% 4) บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จำนวน 119,149,900 หุ้น หรือ 5.03% 5) STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY จำนวน 114,732,014 หุ้น หรือ 4.84%

Back to top button