GPSC เด้ง 2% รับกำไร Q3 แตะ 1.7 พันล้านบาท โตเท่าตัว

GPSC เด้ง 2% รับงบไตรมาส 3/68 กำไรแตะ 1.7 พันล้านบาท โต 126% จากปีก่อนมีกำไร 770 ล้านบาท รับรายได้ขายกลุ่มโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) และรับรู้กำไรจากการขายหุ้นร้อยละ 3.03 ในบริษัท AEPL มูลค่า 788 ล้านบาท รวมถึงต้นทุนการเงินลดลง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 พ.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ณ เวลา 14:14 น. อยู่ที่ระดับ 40.50 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 1.89% สูงสุดที่ระดับ 40.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 39 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 141.84 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมาตอบรับ GPSC รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,741.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 770.07 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้และค่าใช้จ่ายอื่นรวม 1,076 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 756 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 236 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นร้อยละ 3.03 ในบริษัท Avaada Energy Private Limited (AEPL) คิดเป็นมูลค่า 788 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 5,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 เนื่องจากกำไรผันแปร (Contribution Margin) ปรับตัวเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะจากกลุ่มโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ทั้งโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่มีค่าชดเชยเชื้อเพลิง (Energy Margin) สูงขึ้นจากการบริหารปริมาณถ่านหินคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ และราคาต้นทุนเฉลี่ยของถ่านหินที่ใกล้เคียงกับรายได้ที่สามารถเรียกเก็บจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนโรงไฟฟ้าโกลว์ไอพีพีมีการเดินเครื่องเพิ่มขึ้นจาก 1 วันในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็น 23 วันในปีนี้ ขณะที่โรงไฟฟ้าห้วยเหาะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามคำสั่งรับซื้อของ กฟผ.

ทั้งนี้ มีรายได้รวมจากกลุ่มโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 5,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,170 ล้านบาท หรือคิดเป็น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากรายได้ของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่เพิ่มขึ้น 1,794 ล้านบาท เนื่องจากมีการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าตามการเรียกรับของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดทั้งไตรมาส ขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการผลิตเพียง 28 วัน

นอกจากนี้ รายได้จากโรงไฟฟ้าโกลว์ไอพีพีเพิ่มขึ้น 525 ล้านบาท จากปริมาณการเรียกรับไฟฟ้าของ กฟผ. ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม รายได้จากโรงไฟฟ้าศรีราชาลดลง 175 ล้านบาท หลังจากส่งมอบไฟฟ้าครบตามชั่วโมงที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568

สำหรับโรงไฟฟ้าศรีราชา รายได้จากค่าความพร้อมจ่ายลดลง เนื่องจากจ่ายไฟครบตามชั่วโมงที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลงมากกว่าการปรับลดของราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ย ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่า Ft ที่ลดลง แม้ความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าลดลง แต่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายคงที่ลงได้ โดยเฉพาะค่าซ่อมบำรุงและเบี้ยประกันภัยโรงไฟฟ้าที่ปรับลดลงจากการบริหารความเสี่ยงและมาตรการด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง ส่งผลให้ไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา

ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 1,240 ล้านบาท ลดลง 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 จากการชำระคืนเงินกู้บางส่วนและอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ลดลง ส่วนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิอยู่ที่ 9 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งขาดทุน 256 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้บริษัทรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจริงที่เกิดจากการขายหุ้น AEPL แม้ยังมีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการปรับมูลค่าเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐของบริษัท Global Renewable Synergy (GRSCTW) ที่กู้ผ่าน GPSC Treasury Center เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการ CFXD

สำหรับเงินปันผลรับและส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าอยู่ที่ 363 ล้านบาท ลดลง 407 ล้านบาท หรือร้อยละ 92.5 โดยมีสาเหตุหลักจากโครงการ CFXD รับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงมีการรับรู้หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจากการปรับอายุการใช้งานของสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง ขณะที่ AEPL มีกำไรลดลงจากปริมาณแสงแดดที่ลดลงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ส่วน XPCL มีผลประกอบการดีขึ้นจากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นจากประเทศจีนและอิทธิพลของปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการหยุดผลิต 17 วัน ในขณะที่ NL1PC รับรู้กำไรทางบัญชีจากการปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือนกันยายน 2568

ด้านค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 320 ล้านบาทจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 22 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากภาษีที่เกิดขึ้นจากกำไรการขายหุ้น AEPL จำนวน 220 ล้านบาท ประกอบกับในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทมีการบันทึกสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจากการปรับปรุงตามมาตรฐานบัญชี TFRS16 ทำให้ค่าใช้จ่ายภาษีในปี 2568 สูงขึ้นตามการเติบโตของกำไรสุทธิในรอบไตรมาสดังกล่าว

ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,901.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.03% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,062.61

Back to top button