
“เครือซีพี” ตั้งเป้า 3 เสาหลักความยั่งยืน ลดขยะ-ยกระดับการศึกษา สู่ Net Zero 2050
เครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดเวที CP Sustainability Sunergy Forum 2025 ระดมบริษัทในเครือและคู่ค้ากว่า 500 คน ดัน COE–Learning Center ลดคาร์บอน ขับเคลื่อน 3 เป้าหมายหลัก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-ลดความเหลื่อมล้ำ-การจัดการของเสีย ให้เกิดผลจริง
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า งานสัมมนา CP SUSTAINABILITY SUNERGY FORUM 2025 ที่จัดขึ้นนี้มีผู้บริหารจากบริษัทในเครือและคู่ค้ามากกว่า 500 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งเป้าหมายก็เพื่อสร้าง “แรงกระเพื่อม” ด้านความยั่งยืนในทุกระดับ ผ่านการแบ่งปันกรณีศึกษาและแนวปฏิบัติจากหน่วยธุรกิจ (Business Units) ต่าง ๆ โดยทั้งหมดขับเคลื่อนภายใต้นโยบายและเป้าหมายของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนร่วมกันทั้งเครือฯ และพันธมิตรในห่วงโซ่คุณค่า
“ความท้าทายสำคัญของงานด้านความยั่งยืนคือการไม่อาจสำเร็จได้โดยลำพัง โดยเฉพาะประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กว่า 80–90% มาจากกิจกรรมภายนอกองค์กร จึงต้องอาศัยการร่วมมือกับคู่ค้าทุกระดับ ตั้งแต่บริษัทใหญ่จนถึง SME ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (Two-way Learning)” ดร.ธีระพล กล่าว
นอกจากนี้ในงานยังได้ตอกย้ำบทบาทของโมเดล “Center of Excellence (COE)” ที่เปิดพื้นที่ให้บุคลากรในเครือฯ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก อาทิ นักวิจัย อาจารย์มหาวิทยาลัย และคนรุ่นใหม่ มาร่วมพัฒนาโครงการแก้โจทย์เฉพาะด้านความยั่งยืน พร้อมต่อยอดเป็นชุดความรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีในหน่วยงานอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน “Learning Center” ของแต่ละหน่วยธุรกิจจะเป็นแหล่งถ่ายทอด Best Practice เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถของทั้งเครือและคู่ค้าไปพร้อมกัน ลดการทำงานแบบไซโลและเพิ่มความคล่องตัวขององค์กร
เป้าหมายหลัก 3 ประการด้านความยั่งยืน (3 Big Goals) แม้ว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ จะมีเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งหมด 15 ข้อ แต่ได้มีการกำหนด 3 เป้าหมายหลักที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน
1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2030 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
2.การลดความเหลื่อมล้ำ (Accessibility) มุ่งเน้นด้านการศึกษาผ่านแพลตฟอร์มความร่วมมือ เช่น ConnectED และทรูปลูกปัญญา เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชน
3.การจัดการของเสีย (Waste): ลดขยะทุกประเภท โดยเฉพาะขยะอาหาร (Food Waste) สู่หลุมฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด และนำกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ในงานยังกล่าวถึงแนวโน้มสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนักเฉพาะพื้นที่ ภัยพิบัติถี่ขึ้น การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และผลผลิตเกษตรที่ลดลงจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งกำลังกระทบภาคธุรกิจโดยตรง ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์” และ แนวโน้มสำคัญต่อจากนี้คือการพัฒนา Sustainable Products เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อโลก และเป็นทิศทางใหม่ของการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายด้านความยั่งยืนในทั้งระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งภาคเอกชนถือเป็นกำลังสำคัญในการช่วยให้ประเทศสามารถบรรลุพันธสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาคมโลก โดยเป็นเรื่องน่ายินดีที่บริษัทจดทะเบียนไทยจำนวนมากได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ส่งผลให้ภาพรวมความยั่งยืนของประเทศไทยอยู่ในระดับสูงและเป็นผู้นำในหลายมิติองค์กรต่าง ๆ
สำหรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อภาคธุรกิจ ปัจจุบันปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเกิดให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนักเฉพาะพื้นที่ น้ำท่วมฉับพลัน อุณหภูมิที่สูงขึ้นซึ่งกระทบผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงการลดจำนวนลงของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เหตุการณ์เหล่านี้กำลังเข้ามาใกล้ชีวิตประจำวันของผู้คนและธุรกิจมากขึ้น ขณะที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีความถี่มากกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ดังนั้น ไม่เพียงแต่ภาคเอกชนเท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมกันหาวิธีปรับตัวและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจควรมุ่งพัฒนา “สินค้าเพื่อความยั่งยืน” (Sustainable Products) ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อธรรมชาติ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่ออนาคตของโลกและความยั่งยืนของธุรกิจเอง
ทางด้าน นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT กล่าวว่า แนวทางการขับเคลื่อนด้านการจัดการขยะของแม็คโคร–โลตัส ภายใต้การบริหารของ บริษัทให้ความสำคัญกับปัญหาขยะซึ่งเป็นประเด็นระดับโลก
โดยมีหลักคิดสำคัญคือ “ลดการสร้างขยะตั้งแต่ต้นทาง” ผ่านการพัฒนาระบบปฏิบัติการภายในสาขา เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ช่วยยืดอายุสินค้า ลดโอกาสเน่าเสีย การใช้เทคโนโลยีคาดการณ์ยอดสั่งซื้อเพื่อหลีกเลี่ยงการสต็อกเกินความจำเป็น รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าใกล้หมดอายุไม่ให้กลายเป็นของเสียโดยไม่จำเป็น
เมื่อสินค้าเข้าสู่สถานะ “อาหารส่วนเกิน” บริษัทนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชน เช่น สนับสนุนอาหารให้เกษตรกร ผู้ที่ต้องการวัตถุดิบ หรือส่งต่อไปยังสวนสัตว์และศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่ากว่า 170 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งช่วยลดงบประมาณและสนับสนุนสวัสดิภาพสัตว์ไปพร้อมกัน
สำหรับของเสียที่กลายเป็น “ขยะจริง ๆ” แม็คโคร–โลตัสยังนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวมาใช้ เพื่อเปลี่ยนขยะให้กลับมามีคุณค่าในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยส่งต่อให้เกษตรกรใช้เป็นวัตถุดิบด้านการเลี้ยงสัตว์ และนำผลผลิตกลับเข้าสู่ระบบจำหน่ายได้อีกครั้ง เป็นการสร้างวงจรเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ทั้งต่อชุมชน สังคม และผู้ประกอบการในท้องถิ่น
ทั้งนี้ แนวคิดด้านความยั่งยืนขององค์กรเน้นให้เป็น “ส่วนหนึ่งของธุรกิจ” ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะหรือการจัดอีเวนต์ จึงถูกผสานเข้ากับการทำงานประจำวันของทุกสาขา โดยเฉพาะธุรกิจอาหารสดซึ่งมีความเสี่ยงเกิดขยะสูง ทีมงานต้องมีระบบที่คิดถึงการลดขยะควบคู่กับการวางแผนการขายเสมอ ขณะเดียวกันต้องทำงานร่วมกับชุมชน เกษตรกร และหน่วยงานรัฐ เพื่อให้การจัดการขยะเกิดขึ้นได้จริงทุกวัน
สำหรับองค์กรอื่นที่กำลังเริ่มดำเนินงานด้านความยั่งยืน สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” ให้พนักงานทุกคนมองเรื่องความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ไม่ใช่ภาระเพิ่มเติม ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่นโยบายจากผู้บริหาร การจัดโครงสร้างองค์กร การอบรมพนักงาน และการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง เมื่อทุกคนมองว่าความยั่งยืนคือสิ่งที่ “ทำแล้วดี ทำแล้วต้องทำ” การขับเคลื่อนก็จะไม่ใช่เรื่องของกระแสหรือเทรนด์ แต่เป็นวิธีดำเนินธุรกิจที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว






