
เคาะเปรี้ยง! เก็บ PSC “ไฟล์ทอินเตอร์“ เพิ่ม 390 บาท หนุนกำไร AOT พุ่งอีกปีละ 1 หมื่นลบ.
“พิพัฒน์” นั่งหัวโต๊ะ กบร. เคาะเก็บค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร “ระหว่างประเทศ” เพิ่มเป็น 1,120 บาท ส่วน “โดเมสติก” คงเดิม คาดหนุนกำไร AOT ตั้งแต่ปี 69 ขั้นต่ำปีละหมื่นล้าน มากกว่ารายได้ที่หายไปจาก “คิงเพาเวอร์“ หลังแก้สัญญาเปิดทางรอด
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการบินพลเรือน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 โดยที่ประชุมมีมติสำคัญหลายประเด็น ครอบคลุมด้านความปลอดภัย มาตรฐานการให้บริการ และการกำกับดูแล เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการบินของประเทศในทุกมิติ
โดยหนึ่งในมติสำคัญ คือการเห็นชอบในหลักการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge: PSC) สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศจาก 730 บาท เป็น 1,120 บาท ขณะที่เส้นทางภายในประเทศยังคงอัตราเดิมที่ 130 บาท โดยให้ ทอท. จัดส่งเอกสารประกอบเพิ่มเติมให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ตรวจสอบ พร้อมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นของอัตราที่เสนอปรับเพิ่ม ก่อนรายงานผลให้ กพท. พิจารณาและเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่ออนุมัติ ทั้งนี้ ต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 4 เดือนก่อนเริ่มจัดเก็บในอัตราใหม่
ทั้งนี้ กบร. ระบุว่า การปรับเพิ่ม PSC เป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้เพื่อรองรับต้นทุนการพัฒนาสนามบินให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในหลายมิติ อาทิ การยกระดับความปลอดภัยและมาตรฐานบริการสนามบิน ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะนำไปใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
การรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดปัญหาคอขวดและเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง รวมถึงการเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ซึ่งจะเอื้อต่อการเพิ่มเที่ยวบินและเส้นทางบินใหม่ ส่งผลดีต่อภาคท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนของประเทศในระยะยาว
สำหรับการปรับเพิ่ม PSC ของท่าอากาศยานตรังตามข้อเสนอของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ที่ประชุมมีมติให้ข้อแนะนำต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยเห็นชอบให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ปรับค่าบริการสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นไม่เกิน 425 บาทต่อครั้ง จากเดิม 400 บาท และเที่ยวบินภายในประเทศเป็นไม่เกิน 75 บาทต่อครั้ง จากเดิม 50 บาท ทั้งนี้ จะเริ่มจัดเก็บได้เมื่อท่าอากาศยานตรังติดตั้งระบบ CUPPS และอุปกรณ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 พร้อมเปิดให้บริการครบ 3 ระบบ ได้แก่ CUTE, CUSS และ CUBD รวมทั้งต้องผ่านการตรวจสอบความพร้อมโดย กพท. และประกาศล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 4 เดือนก่อนจัดเก็บอัตราใหม่ ปัจจุบันมีท่าอากาศยานในสังกัดทย. 6 แห่งที่เก็บค่าบริการในอัตรานี้ ได้แก่ กระบี่ สุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น นครศรีธรรมราช และพิษณุโลก
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบการปรับอัตราค่าธรรมเนียมการเข้าหรือออกนอกประเทศจากเดิม 15 บาทต่อผู้โดยสารต่อเที่ยว เป็น 25 บาทต่อผู้โดยสารต่อเที่ยว เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนและภารกิจด้านการกำกับดูแลตามกฎหมาย
ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมายและข้อบังคับชุดใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน พร้อมเห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอากาศยานที่ใช้ในการประกอบกิจการการบินพลเรือน จากเดิมจำกัดอายุของอากาศยาน เป็นไม่จำกัดอายุสำหรับอากาศยานทุกประเภท ทั้งอากาศยานปีกแข็งและเฮลิคอปเตอร์ โดยมอบหมายให้ กพท. สร้างความเข้าใจแก่สาธารณชนเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดตามหลักสากล และให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมายและข้อบังคับตรวจร่างข้อบังคับที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลงนาม
ด้านใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้บริษัท ไทยสกาย บัลลูนนิ่ง จำกัด ได้รับใบอนุญาตการบินพลเรือนประเภทการทำงานทางอากาศ (การบินบัลลูนเพื่อชมภูมิประเทศและโฆษณา) และเห็นชอบให้บริษัท สยามแลนด์ ฟลายอิ้ง จำกัด ต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนประเภทการขนส่งทางอากาศเพื่อการพาณิชย์แบบไม่ประจำ อายุ 5 ปี ตามเงื่อนไขที่กำหนด
ขณะเดียวกัน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา AOT เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ได้มีมติ “เห็นชอบผลการเจรจากับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD)” เกี่ยวกับปัญหาร้านค้าปลอดอากรใน 5 ท่าอากาศยาน ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมอนุมัติให้ ทอท. ดำเนินการแก้ไขสัญญาตามข้อตกลงของคณะทำงานเจรจาฯ
โดย AOT พิจารณาทางเลือกหลัก 2 แนวทาง ได้แก่ “ยกเลิกสัญญาและเปิดประมูลใหม่” เทียบกับ “การแก้ไขสัญญา” ซึ่งผลสรุประบุว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดคือการแก้ไขสัญญา เนื่องจากให้ความต่อเนื่องทางธุรกิจ ลดระยะเวลาสูญเสียรายได้ และมีผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า โดยเหตุผลสำคัญประกอบด้วย
1.) รักษาความต่อเนื่องในการให้บริการผู้โดยสาร ไม่ต้องหาผู้ประกอบการรายใหม่ซึ่งอาจใช้เวลาไม่น้อยกว่า 14 เดือน
2.) คงรายได้ให้ทอท.อย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่วงขาดรายได้ระหว่างรอประมูลใหม่
3.) ผลตอบแทนสูงกว่า ตามผลการศึกษาระบุว่าแนวทางแก้สัญญาให้ผลตอบแทนมากกว่าขั้นต่ำที่คาดว่าจะได้รับจากการหาผู้ประกอบการรายใหม่
4.) ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน หากยกเลิกสัญญาอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจผู้เกี่ยวข้องและภาพรวมเศรษฐกิจ
สำหรับเงื่อนไขหลักของสัญญาที่ยังคงไว้ ได้แก่ การเก็บค่า MG (Minimum Guarantee) ที่เติบโตปีละ 5% การเก็บ ส่วนแบ่งรายได้ 20% และ Upside หากเข้าเงื่อนไข โดยมีรายละเอียดการเจรจาในแต่ละสนามบิน ดังนี้ สุวรรณภูมิ: คงค่า MG ตามหลักการเดิม เก็บเป็นรายปี (232.90 บาท/คน เติบโต 5% ต่อปี) และเพิ่มส่วนแบ่งรายได้อีก 35% ของ Spending per Head ที่เกิน พร้อมขยายสัญญาอีก 2 ปี ตามแผนก่อสร้าง South Terminal
ดอนเมือง: คงค่า MG ต่อตารางเมตร 39,187.76 บาทต่อเดือน ส่วนแบ่งรายได้ 20% และขยายสัญญา 5 ปี ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่: คง MGค่า ตามเดิม (เฉลี่ย 129.67 บาท/คน เติบโต 5%) พร้อมส่วนแบ่งรายได้ส่วนเพิ่ม 35% ของ Spending per Head ที่เกิน
AOT ระบุว่า แม้การแก้ไขสัญญาจะทำให้รายได้จากดิวตี้ฟรีบางส่วนลดลง แต่กระทบจำกัดเมื่อเทียบกับรายได้จาก PSC ที่จะเพิ่มขึ้นจากการเก็บอัตราใหม่ โดยคาดว่าผลบวกจาก PSC จะสนับสนุนรายได้และกำไรตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไปอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่วันนี้ (3ธ.ค.68) ราคาหุ้นของ AOT ปิดที่ระดับ 47.50 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 4.97% สูงสุดที่ระดับ 48.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 45.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4,072.51 ล้านบาท

