“มูดี้ส์” คงอันดับเครดิต PTTEP ไร้กังวลเรื่องตั้งสำรอง

“มูดี้ส์”คงอันดับเครดิต PTTEP ไร้กังวลเรื่องตั้งสำรอง มั่นใจหลักฐานแน่น พร้อมสู้คดีเต็มที่! ชี้ชะลอการเข้าลงทุนในอินโดฯ ไม่ส่งผลกระทบต่อความเสียหายของบริษัท


นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล รองกรรมการู้จัดการใหญ่กลุ่มการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. เกี่ยวกับกรณีรัฐบาลอินโดนีเซียเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่อ PTTEP บริษัท PTTEP Australasia (Ashmore Cartier) หรือ PTTEP AA ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของแหล่งมอนทารา ในทะเลติมอร์ ประเทศออสเตรเลีย ว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับเอกสารฟ้องร้องอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอินโดนีเซีย

ส่วนเรื่องการตั้งสำรองเผื่อการฟ้องร้องนั้น น.ส.พรรณนลินระบุว่า บริษัทจะไม่มีการพิจารณาตั้งสำรองเผื่อค่าเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ณ ขณะนี้ แต่อย่างใด เนื่องจากทางรัฐบาลอินโดนีเซียยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าบริษัทได้สร้างความเสียหายจริง ซึ่งตามมาตรฐานบัญชี การที่บริษัทจะพิจารณาว่า บริษัทจะต้องดำเนินการตั้งสำรองฯหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระดับความแน่นอนที่บริษัทจะต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สิน เพื่อชำระข้อเรียกร้องนั้น โดยกรณีนี้อาจต้องรอผลการตัดสินของศาลชั้นต้นที่ขณะนี้กระบวนการพิจารณายังเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น บริษัทจึงยังไม่มีการตั้งสำรองฯใดๆ อีกทั้งยังมั่นใจกับหลักฐานของบริษัทที่มีอยู่ในตอนนี้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการเก็บภาพถ่ายจากทางดาวเทียม ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณน่านน้ำของอินโดนีเซียแต่อย่างใด

อนึ่ง หลังจากเหตุการณ์การระเบิดของแท่นขุดเจาะน้ำมันมอนทาราเกิดขึ้นเมื่อปี 2552 ทาง PTTEP และ PTTEP AA ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานกับทางรัฐบาลอินโดนีเซียโดยทันที เพื่อร่วมเจรจาและแจ้งให้ทราบเจตจำนงถึงการที่บริษัทยินดีที่จะทำผลการศึกษาเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย แต่การเจรจาก็ไม่ได้ข้อสรุปและไม่มีความคืบหน้ามาตั้งแต่ปี 2555 ตามคำอ้างของรัฐบาลอินโดนีเซีย

ส่วนกรณีของ โครงการ Natuna Sea A ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย และ PTTEP มีการร่วมลงทุนอยู่ด้วยนั้น บริษัทมั่นใจว่า ทางรัฐบาลอินโดนีเซียไม่มีสิทธิยื่นขออายัดทรัพย์สินดังกล่าวต่อข้อพิพาทประเด็นแหล่งขุดเจาะมอนทาราได้ เนื่องจากโครงการนี้ ทาง PTTEP Netherland Holding Limited เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 11.5% ซึ่งบริษัทลูกที่กำลังถูกรัฐบาลอินโดนีเซียฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอยู่ ณ ขณะนี้ คือ PTTEP AA ถือเป็นคนละนิติบุคคลกัน ดังนั้นโครงการดังกล่าวยังคงดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม น.ส.พรรณนลินยอมรับว่า ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเกิดคดีดังกล่าวขึ้น ทำให้บริษัทชะลอการลงทุนโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาในประเทศอินโดนีเซียออกไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนและได้ข้อยุติ ถึงจะมีการตัดสินใจเพื่อลงทุนต่อไปอีกครั้ง

ทั้งนี้ การชะลอการลงทุนดังกล่าวนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบทำให้บริษัทเกิดความเสียหายแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นแค่การศึกษาการลงทุน หรืออยู่ในขั้นตอนของการศึกษาเท่านั้น และที่สำคัญที่สุด คือ บริษัทยังไม่ได้มีการรวบรวมโครงการต่างๆเหล่านี้ไว้ในประมาณการแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน บริษัทมีความสนใจเข้าลงทุนในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย เมียนมา และมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นพื้นที่ ที่ทาง PTTEP มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี ล่าสุด สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s Investors Service) ยังคงยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ Baa1 และมองว่าเหตุการณ์การฟ้องร้องดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทในทันที

Back to top button