บล.ทรีนิตี้ คาดหุ้นไทยเดือนนี้ Sideways ให้กรอบ 1,540-1,600 จุด

บล.ทรีนิตี้ คาดหุ้นไทยเดือนนี้ Sideways ในกรอบ 1,540-1,600 จุด จับตาเงินเฟ้อต่ำกดบริโภค-ลงทุน แนะเลือกหุ้นกลุ่มที่มีรายได้สม่ำเสมอ ไม่พึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภค


นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค.60 นี้จะยังคงแกว่งตัวออกข้าง (Sideways) ต่อไปในกรอบ 1,540-1,600 จุด เนื่องจากยังไม่เห็นปัจจัยที่มีแนวโน้มผลักดันดัชนีไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน

โดยขาขึ้นยังคงจำกัดจาก Valuation ของตลาดที่ทรงตัวในระดับสูง ส่วนความเสี่ยงขาลงยังคงจำกัดจากทิศทางฟันด์โฟลว์ที่ยังไม่เห็นสัญญาณไหลออก แนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้านแนวรับดังกล่าว

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปี 60 ของกระทรวงพาณิชย์ลงมาอยู่ที่ 0.7-1.7% จากเดิมคาด 1.5-2.2% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงความเสี่ยงเงินเฟ้อต่ำอย่างแท้จริง (Disinflation) ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจมาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อต่ำนี้จะยิ่งทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายของตนเองในปัจจุบัน รวมไปถึงภาคธุรกิจที่อาจจะชะลอแผนการลงทุนในอนาคต  บ่งชี้ว่าภาคอุปสงค์ในประเทศของไทยอาจยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแออีกสักระยะ

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตามรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) รอบเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งจะออกมาช่วงดึกคืนวันที่ 5 ก.ค.ตามเวลาไทย และการลงมติร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ของสหรัฐฯ

ขณะที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค. หลังจากที่ได้มีการเลื่อนมาก่อนหน้านี้ หากการลงมติไม่สำเร็จหรือมีความล่าช้าเกิดขึ้นอีก อาจจะทำให้การผลักดันกฎหมายอื่นๆที่มีความสำคัญกว่า เช่น การปฏิรูปภาษี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ต้องเลื่อนออกไปจากไตรมาส 3 นี้ ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ที่ยังได้รับอานิสงค์จาก ฟันด์โฟลว์ ต่อไป

สำหรับกลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นกลุ่มที่มีรายได้สม่ำเสมอ และไม่พึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจมากนัก อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) ที่ยังคงเป็นหลุมหลบภัยในภาวะนี้ได้ต่อไป เนื่องจากมีความผันผวนต่ำและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง

“กลุ่มสาธารณูปโภค นับเป็น Top pick ของเรามาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ซึ่งล่าสุดดัชนี Utility Index ที่เราจัดทำขึ้นมา สามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาด (Outperform) เป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกันแล้ว” นายณัฐชาต กล่าว

ด้านกลุ่มสาธารณูปโภคแนะนำลงทุน  BCPG และ WHAUP จากแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถคาดหวังการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นได้ด้วย ส่วนหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผล (Dividend Yield) ในระดับสูงและคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลคือ GLOW, EGCO, RATCH เหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากรับเงินปันผลในระดับสูง ไม่เน้นการเคลื่อนไหวของราคา

นอกจากนั้นยังสนใจกลุ่มสินค้าและบริการจำเป็น เช่น CPALL, BJC และ กลุ่มการแพทย์ เช่น BCH, CHG ยังเป็นกลุ่มที่น่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาด ในสภาวะที่การจับจ่ายใช้สอยยังคงตึงตัวอยู่เช่นนี้

ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มพลังงานนับเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ ณ ขณะนี้ เนื่องจากยังคงประเมินเช่นเดิมว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังคงปรับตัวช้ากว่าตลาด และราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน มีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด รวมถึงค่าการกลั่นล่าสุดยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้

ส่วนประเด็นการขาดทุนสต็อกน้ำมัน (Stock loss) ของกลุ่มโรงกลั่น ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/60 มองว่านักลงทุนได้รับรู้ไปพอสมควรแล้ว

สำหรับกลุ่มพลังงานต้นน้ำเลือก PTT และ PTTEP เป็นหุ้นแนะนำ ส่วนกลุ่มโรงกลั่นเลือก BCP, SPRC, TOP เนื่องจากยังคงมี Valuation และระดับเงินปันผลที่น่าสนใจ ประกอบกับคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลอีกด้วย

Back to top button