VGI เจรจาพันธมิตรอินโดฯ รุกสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้า พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในอาเซียนเต็มสูบ

VGI เจรจาพันธมิตรอินโดฯ รุกสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้าของอินโดฯ คาดเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในอาเซียนเต็มสูบ มั่นใจรายได้ในปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค. 61) โตแตะ 4 พันลบ. ตามเป้า


นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการเงิน บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซียเพื่อร่วมทุนเตรียมทำธุรกิจสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้าของอินโดนีเซียที่จะเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะขยายออกไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียนต่อจากมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะชัดเจนเมื่อใด

ขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศมาเลเซียที่ปัจจุบันบริษัทได้สิทธิใช้พื้นที่โฆษณาบนรถไฟฟ้าสาย SBK Line จำนวน 2 สถานี ในปัจจุบันนั้น บริษัทตั้งเป้าขยายสื่อโฆษณาเพิ่ม 31 สถานีภายในปีนี้

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังมั่นใจรายได้ในงวด 60/61 (เม.ย.60-มี.ค. 61) จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 3.35 พันล้านบาท โดยบริษัทมองว่าผลจากช่วงเดือน ต.ค.60 ที่มีพระราชพิธีสำคัญ จะกระทบต่อรายได้ราว 1-2% เท่านั้นไม่ได้มีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตามนับจากต้นเดือน พ.ย.ยอดการใช้โฆษณาเริ่มฟื้นกลับมาหลังภาวะทุกอย่างคืนสู่ปกติ ช่วยสนับสนุนการเติบโตในช่วงครึ่งหลังของงวดปี 60/61 และคาดว่าอัตราการใช้สื่อโฆษณาของบริษัทในปีนี้จะอยู่ที่ 70% สูงกว่าปีก่อน

ส่วนงวดไตรมาส 3 ของปี 60/61 บริษัทคาดว่าจะมียอดการใช้งานโฆษณาใกล้เคียงกับในงวดไตรมาส 2 ที่ระดับ 65-70% และ MACO อยู่ที่ 65% โดยการขยายตัวของสื่อในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายสื่อโฆษณานอกบ้าน (Outdoor) อยู่ที่ทั้งหมด 50 จอ โดยปัจจุบันทำได้แล้ว 21 จอ และสื่อประเภทอาคารทั้งหมด 10 อาคาร ปัจจุบันมีอยู่ 8 อาคาร ใช้งบลงทุนไปแล้วทั้งหมด 350 ล้านบาท จากงบลงทุนที่ตั้งไว้ 700 ล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มเม็ดเงินสื่อโฆษณาโฆษณาในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 61 มองว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องตามแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐ และการประกาศวันเลือกตั้งชัดเจน ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น และส่งผลต่อการใช้เม็ดเงินโฆษณาที่คาดว่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในปีหน้าจากปีนี้ที่ลดลง 13%

Back to top button