SAWAD-MTC กอดคอกันวิ่ง!คาดเก็งฯธปท.จ่อคลอดเกณฑ์จำนำรถพ.ย.นี้ คาดดันสเปดดอกเพิ่มอีก 5%
SAWAD-MTC กอดคอกันวิ่ง!คาดเก็งฯธปท.จ่อคลอดเกณฑ์จำนำรถพ.ย.นี้ คาดดันสเปดดอกเพิ่มอีก 5%
ผู้สื่อข่าวรายงานรายงานว่า ราคาหุ้น SAWAD และ MTC วิ่งคึก โดยราคาหุ้นบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ณ เวลา 10.53 น. อยู่ที่ระดับ 49.375 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 4.74% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 854.81 ล้านบาท ด้านบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ณ เวลา 10.55 น. อยู่ที่ระดับ 52.00 บาท บวก 3.25 บาท หรือ 6.67% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 751.86 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น SAWAD และ MTC ปรับตัวขึ้นแรงเนื่องจากเข้ามาเก็งกำไรประเด็นธปท.คาดจะออกเกณฑ์กำกับสินเชื่อจำนำรถเดือนพ.ย.นี้ อีกทั้งโบรกฯประสานอัพประมาณการกำไรปี นอกจากคาดบริษัทจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่ีมอีกอีก 5%
โดยนางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซีย พลัส กล่าวเช่นกันว่า จากที่ได้เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหาร MTC เมื่อวานนี้ ทำให้มี “มุมมองเป็นบวก” ต่อหุ้น MTC เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจากเดิม MTC จะคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 23% และตามเกณฑ์ใหม่ของ ธปท.กำหนดไว้ไม่เกิน 28% ทำให้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือสเปรดเพิ่มอีกถึง 5% ที่ MTC สามารถคิดได้
ด้านนายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC กล่าวว่า วานนี้ (2 ต.ค.) บริษัทได้จัดประชุมนักวิเคราะห์ เพื่อให้ข้อมูลถึงผลกระทบจากการออกแนวทางกำกับดูแลสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นหลักประกัน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งตนยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลในเชิงบวกต่อบริษัท ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นคาดว่าจะมาจากกลุ่มนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก
เนื่องจาก 1. บริษัทมีใบอนุญาตในการประกอบการสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่แล้ว เพียงแต่รอให้ประกาศของแบงก์ชาติมีผลในเดือน พ.ย. ก็สามารถยื่นขออนุญาตดำเนินการรับจำนำทะเบียนรถต่อแบงก์ชาติได้ทันที ไม่มีสะดุดหรือติดขัดเหมือนบริษัทที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบการ
2. มีความชัดเจนเรื่องของดอกเบี้ยที่กำหนดไม่เกิน 28% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทคิดดอกเบี้ยเฉลี่ย 23% เท่านั้น แบ่งเป็น ดอกเบี้ยจักรยานยนต์ 24% และทะเบียนรถยนต์ 20.5% หากรวมค่าธรรมเนียมก็ไม่เกิน 25.37% ซึ่งก็ยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกบริษัทยังคงดอกเบี้ยไว้เช่นเดิม รอดูดอกเบี้ยในตลาดก่อนว่าจะปรับขึ้นหรือไม่ หากมีการปรับขึ้นก็จะมาพิจารณาอีกครั้ง
3.ความชัดเจนเรื่องของการอนุญาตให้บริษัทสามารถตั้งสาขาได้ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด จากก่อนหน้านี้ที่มีความกังวลว่าอาจต้องขออนุญาตเป็นรายจังหวัด ซึ่งจะทำให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาอีก 600 สาขา จนถึงสิ้นปีจะมีมากกว่า 3.2 พันสาขา และ 4. วงเงินในการปล่อยสินเชื่อสามารถทำได้เต็มที่ไม่มีข้อจำกัด
นายชูชาติ คาดว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 จะเติบโตได้ตามเป้า สินเชื่อโตกว่า 40% และกำไรสุทธิจะโตมากกว่าสินเชื่อ เอ็นพีแอลสามารถควบคุมได้ไม่เกิน 1.5% และเชื่อว่าหลังจากนักวิเคราะห์จะปรับเป้าหมายของกำไรบริษัทและราคาหลังจากได้รับฟังข้อมูลแล้ว
นอกจากนี้ ในส่วนของทริสเรทติ้ง คาดว่าจะปรับเพิ่มเครดิตให้บริษัทจากเดิมที่ระดับ BBB เป็น BBB+ หลังจากความกังวลในเกณฑ์ของแบงก์ชาติคลี่คลายลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทลง จากการออกหุ้นกู้ โดยบริษัทจะออกไปโรดโชว์เร็ว ๆ นี้ โดยจะเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ วันที่ 23 พ.ย.ไปสิงคโปร์ วันที่ 26 พ.ย.ไปฮ่องกง และวันที่ 6 ธ.ค.ไปมาเลเซีย
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มไฟแนนซ์ คาดธปท.จะออกเกณฑ์กำกับสินเชื่อจำนำรถเดือนพ.ย.นี้ โดยหลังทำสำรวจความคิดเห็น ให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจสินเชื่อจำนำรถยนต์และจักรยานยนต์ต้องมีเงินทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทภายใน 1 ปีหลังเปิดกิจการ ทั้งนี้ผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทั้งรายเดิมและรายใหม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธปท.
กำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมแต่ไม่รวมค่าทวงถามหนี้ของสินเชื่อจำนำอยู่ที่ 28% ต่อปี โดยห้ามไม่ให้มีการคิดดอกเบี้ยปรับในสินเชื่อ Top-up และการคืนหนี้ก่อนกำหนด การยึดหลักประกันมาขายถ้ามีส่วนต่างจากหนี้สินและดอกเบี้ยค้างรับต้องคืนส่วนต่างให้กับผู้กู้ และผู้ให้กู้ต้องชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมอย่างละเอียด รวมทั้งต้องมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้วย
MTC, SAWAD และ BAY มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อจำนำ 50% ของทั้งหมด ทั้งนี้ผู้ประกอบการการให้สินเชื่อรับจำนำมีประมาณ 1,000 รายในประเทศไทย และมีประมาณ 100 รายที่มีเงินทุนจดทะเบียนตามเกณฑ์คือตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป (คิดเป็น 90% ของทั้งหมด) ดังนั้นผู้ประกอบการส่วนที่เหลือประมาณ 900 รายก็จะไม่อยู่ในข่ายที่ทำธุรกิจสินเชื่อจำนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย
คาดเกณฑ์ใหม่ไม่กระทบ MTC และ SAWAD โดยอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมที่ทั้งสองบริษัทคิดกับลูกหนี้อยู่ที่ 23-25% ต่อปี ต่ำกว่าเพดานที่ 28% อยู่แล้ว ทาง DBSVTH คาดว่า MTC อาจจะหยุดการปล่อยสินเชื่อแบบ 2 สัญญา (สินเชื่อจำนำ+สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์) แล้วกลับมาปล่อยสินเชื่อที่เคยทำปกติ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 15% บวกค่าธรรมเนียม 8% รวมเป็น 23% ทางด้าน SAWAD ก็กลับไปใช้สินเชื่อสัญญาเดียวเช่นกัน (ก่อนหน้าใช้ 2 สัญญาสำหรับปล่อยสินเชื่อจำนำรถจักรยานยนต์) รวมทั้งมีโอกาสย้ายสินเชื่อกลับมาที่ศรีสวัสดิ์ 2014 ซึ่งบริหารจัดการและทำกำไรได้ดีกว่า
คงคำแนะนำซื้อ MTC (ราคาพื้นฐาน 52 บาท) และถือ SAWAD (ราคาพื้นฐาน 40 บาท) ทั้งนี้แนวโน้มธุรกิจทั้งสองบริษัทยังไปได้ดี จากการขยายสาขาต่อเนื่อง และ Overhang เรื่องกฎเกณฑ์ใหม่จบลง ปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ การด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะ”ซื้อ”หุ้น บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทฯแตะระดับต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1/61 และคาดจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี ได่รับแรงหนุนจากสินเชื่อที่เติบโตขึ้น, อัตราตอบแทนสินเชื่อที่ผ่านระดับต่ำสุดแล้ว และการตั้งสำรองที่ลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ผลจากการเริ่มใช้นโยบายบัญชีใหม่ของ BFIT ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 61-63 ขึ้น 2-3% ด้วยอานิสงส์หลักจากการปรับเพิ่มอัตราเติบโตของสินเชื่อ และอัตราตอบแทน พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 47.50 บาท (จาก 47 บาท) หรือด้วย PBV กลางปี 62 ที่ 4.1 เท่า
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ”ซื้อ”หุ้น บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ให้ราคาพื้นฐาน 55 บาท โดยมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศร่างระเบียบข้อบังคับใหม่ที่ระบุให้ผู้ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีรถยนต์เป็นหลักประกันคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 28% ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบเรื่องปัจจัยเสี่ยงด้านระเบียบข้อบังคับให้กับ MTC ได้ โดยมองว่าร่างข้อบังคับใหม่ดังกล่าวจะส่งผลบวกกับ MTC เพราะอัตราตอบแทนของบริษัทขณะนี้ที่อยู่ที่ราว 23% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดขณะที่คู่แข่งขันขนาดเล็กอาจต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2561-63 ขึ้น 7%,7%,9% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) และปรับลดประมาณการต้นทุน/รายได้และการตั้งสำรองลง ทั้งนี้ คาดว่า MTC จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 ที่ 966 ลบ. เพิ่มขึ้น 49% YoY และ 6% QoQ (คาดประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/61 ในวันที่ 6 พ.ย.61)

