กกร.หั่นคาดการณ์ GDP ไทยปี 62 เหลือโต 2.7-3.0% จากเดิม 2.9-3.3%

กกร.หั่นคาดการณ์ GDP ไทยปี 62 เหลือโต 2.7-3.0% จากเดิม 2.9-3.3%


นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แถลงว่า ที่ประชุมกกร. ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปี 62 มาที่  2.7-3.0% จากเดิมคาด 2.9-3.3% พร้อมปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือ -2.0% ถึง 0.0% จากเดิมคาด -1.0% ถึง 1.0% ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยืดเยื้อ, ประเด็น Brexit และทิศทางเงินบาทที่แข็งค่า

“ทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2562 ยังอยู่ในภาวะที่อ่อนแรงอย่างต่อเนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยถ่วงหลักจากความเสียงในภาคต่างประเทศทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนและการแข็งคำของเงินบาทฉุดให้การส่งออกยังคงหดตัวเป็นวงกว้างทั้งในรายการสินคำและตลาดส่งออกหลักกระทบต่อภาคการผลิต ในขณะเดียวกันแรงขับเคลื่อนภายในประเทศก็แผ่วตัวลงทั้งการบริโภคและการลงทุน มีเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งจากผลของฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน”

นอกจากนี้ กกร.ได้ประเมินผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเสียหายและกระทบต่อเศรษฐกิจ ประมาณ  20,000 – 25,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ก็จะมีผลกระทบจากความเสียหายของบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรทั้งนี้ จังหวัดอุบลราชธานีประสบปัญหาอุทกภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี จึงขอให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วนเพื่อลดภาระและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาสู่สภาพปกติโดยเร็ว

นายกลินท์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการ”ชิมช้อปใช้” ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมีการลงทะเบียนเต็ม 1 ล้านคนต่อวันอย่างรวดเร็ว และยังมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก ส่งผลให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ภาคเอกชนยินดีช่วยประชาสัมพันธ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการชิมช็อปใช้ ซึ่งคาดว่าจะโดยมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านบาท สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1-0.2%

นายกลินท์ ยังแสดงความเห็นด้วยหากรัฐบาลจะมีการขยายมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ออกไปจนถึงฤดูกาลท่องเที่ยงและช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ไม่ควรทำเป็นมาตรการระยะยาว แต่ควรรอให้มีการประเมินความคุ้มค่าของมาตรการ”ชิมช้อปใช้”ก่อนแล้วจึงขยายมาตรการออกไป

นอกจากนี้ ทาง กกร.คาดหวังที่จะเห็นมาครการสริมจากภาครัฐเพิ่มเดิมนอกเหนือไปจากการเร่งผลักดันกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เพื่อรับมือกับความท้าทายโดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศนอกจากนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนควรมีการเสนอราดาเป็นสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินท้องถิ่น

“ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นครษฐกิจหลายด้าน อาทิ มาตรการชิมช้อปใช้, มาตรการประกันรายได้สินค้าเกษตร, มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เป็นต้น คาดว่าแรงบวกจะสามารถชดเชยผลกระทบจากหลายปัจจัยกดดันจากภายนอกประเทศได้บ้าง”

ด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ทาง กกร.เห็นด้วยกับมาตรการ”ชิมช้อปใช้” ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอบไปยังหลายภาคส่วนได้ในช่วงที่ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งภาครัฐต้องประเมินถึงความเหมาะสมและกรอบวงเงินที่ชัดเจนหากจะมีการดำเนินการต่อไป

ขณะที่นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงปัญหาค่าฝุ่น PM2.5 ที่รัฐบาลได้วางมาตราการควบคุมและลดมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม โดยยืนยันว่า ภาคอุตสาหกรรมได้วางแนวทางปฏิบัติแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ได้เป็นอย่างดี

โดยเชื่อว่าโรงงานอุตสาหกรรมทำถูกต้องตามกฏหมายถึง 98% มีเพียง 4-5 % เท่านั้นที่ยังมีปัญหาและกลับถูกมองเป็นผู้ร้ายมาตลอด และที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมก็มีการควบคุมมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมมาโดยตลอด ทั้งเรื่องการบำบัดน้ำเสียและปัญหาเรื่องฝุ่นควัน

พร้อมตั้งข้อสังเกตการควบคุมและลดมลพิษจากยานพาหนะ ซึ่งปัจจุบันมีรถยนต์ในกรุงเทพมหานครมากถึง 10 ล้านคันแต่ยังไม่ได้รับการควบคุมที่ดีเพียงพอ จึงฝากให้ภาครัฐเข้มงวดตรงจุดนี้ด้วย

Back to top button