PSL พุ่งแรง 6% โบรกฯ ชี้ไตรมาส 2 ฟาดกำไรทะลุ 600 ลบ. สูงสุดรอบ 11 ปี!

PSL พุ่งแรง 6% โบรกฯ ชี้ไตรมาส Q2 ฟาดกำไรทะลุ 600 ลบ. สูงสุดรอบ 11 ปี! หนุนโดยค่าระวางเรือ –อัตรากำไรขั้นต้น ชูเป้า 24 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (8 ก.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 20.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 5.79% โดยทำจุดสูงสุดที่ 20.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 18.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 740.17 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (7 ก.ค.2564) โดยมีมุมมองต่อหุ้น PSL ว่ามีคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 658 ล้านบาท (จากขาดทุน 1.18 พันล้านบาทในไตรมาส 2/2563 แต่เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสก่อน) ซึ่งเป็นกำไรที่สูงสุดรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2552 ทั้งนี้หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 108 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2563 จะเติบโต 146% จากไตรมาสก่อน

โดยผลประเมินว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 พลิกมีกำไรสุทธิ ซึ่งหลักๆมาจาก 1) รายได้ที่ 1.85 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 172% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 49% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยค่าระวางที่ปรับขึ้นมาแรง ซึ่งคาด TC rate เฉลี่ยของ PSL ในไตรมาส 2/2564 ที่ 18,307 ดอลลาร์/วัน (ทั้งนี้มี Discount จาก Market TC rate เนื่องจากเรือมีขนาดเล็กกว่าเรืออ้างอิงของดัชนีและมีเรือที่ผูกสัญญา Fix contract จำนวน 6 ลำ) และ2) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับขึ้นมาที่ 47% (จาก 37% ในไตรมาส 1/2563)

ขณะเดียวกันดัชนี BSI index อาจถูกกดดันจากดัชนี BDI index ที่มี correction ลงมาในระยะสั้น (BCI Index ปรับลงติดต่อกัน 4 วันทำการ) อย่างไรก็ตามบริษัทฯมีมุมมองว่าดัชนีค่าระวางยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น โดยมีแผนที่จะทำ Fix contract มากขึ้นในไตรมาส 4/2564 เนื่องจากมองว่าเป็นช่วง high season ซึ่งจะทำให้สัญญาได้ค่าระวางที่สูงส่วนปัจจุบันมี Fix contract อยู่ 17% ของกองเรือ

ทั้งนี้ปัจจัยที่จะหนุนค่าระวางในระยะสั้นได้แก่ การเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งจะหนุนการขนส่งธัญพืช ส่วนในระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนจาก Infrastructure stimulus plan ของสหรัฐฯ มีงบประมาณ 5.80 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และการขุดคลอง Istanbul grand cannel ยาว 45 km ในตุรกี ซึ่งจะทำให้มี demand การขนส่งปูนซีเมนต์ เหล็ก และไม้มากขึ้นโดยคาด Global dry-bulk demand ปี 2564 จะเติบโตที่ 5-7% ในขณะที่ supply ของกองเรือคาดเติบโตเพียง 2-3%

อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 1.52 พันล้านบาท (จากขาดทุน 1.30 พันล้านบาทในปี 2563) ซึ่งหลักๆ มาจาก 1) รายได้เติบโต 62% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6.05 พันล้านบาท หนุนโดย Global Demand ที่ฟื้นตัว นอกจากนี้บริษัทฯยังไม่มีแผนที่จะซื้อเรือเพิ่มในปีนี้เนื่องจากราคาเรือมือสองปรับขึ้นมา 60-70% นับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบันซึ่งบริษัทฯมองว่ายังไม่ใช่จังหวะที่ควรจะซื้อเรือ อนึ่งบริษัทฯอาจมีแผนซื้อเรือเพิ่มในปี 2568 (2) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่39.40% (จากปี 2563 ที่ 13.60% ใกล้เคียงปี 2553 ที่ดัชนี BSI Index อยู่ที่ระดับ 2,000-3,000 จุด) หากค่าระวางยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4/2564อาจทำให้มี Upside ต่อประมาณการของทางฝ่ายวิจัย

รวมทั้งประเมินราคาเหมาะสมที่ 24.00 บาท อิงปี2564ค่า PER ที่ 24.00 เท่าโดยทางฝ่ายวิจัยให้ Targeted PER ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังเนื่องจาก 1) แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 2564 (2) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่จะดีขึ้นจากค่าระวาง BSI Index ที่อยู่ในระดับสูงหนุนโดยการขนส่งระหว่างประเทศที่สูงขึ้นจาก Commodity super cycle ที่เกิดขึ้นทุกๆ 12 ปี

Back to top button