APURE พุ่ง 11% โบรกชี้ยีลด์ 6% ลุ้นปีนี้รายได้โต 40% “ออเดอร์ลูกค้าใหม่-บาทอ่อนค่า” หนุน

APURE พุ่ง 11% แตะ 6.25 บาท โบรกชี้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนเครื่องจักรในการผลิต และพัฒนาสินค้า ส่งผลให้ออเดอร์ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น พร้อมรับเงินบาทอ่อนค่า คาดรายได้ปี 2564 โต 40% กำไรแตะ 400 ลบ. สิ่งสำคัญความสนใจแง่เงินปันผลมองยีลด์ราว 6%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 ก.ค. 64) ราคาหุ้นบริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE ณ เวลา 10.53 น. อยู่ที่ระดับ 6.25บาท เพิ่มขึ้น 0.60บาท หรือ 10.62% โดยทำจุดสูงสุดที่ 6.40 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 5.85 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 266.49 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า APURE มีแนวโน้มผลประกอบการปี 2564 จะมีการเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับการหนุนจากการเปลี่ยนเครื่องจักรในการผลิตในปี 2563 ที่ผ่านมา และจากออเดอร์ลูกค้ารายใหม่ รวมไปถึงแนวโน้มของค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ยังเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของบริษัท

นอกจากนี้บริษัทยังมีการสั่งซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มปริมาณในการผลิต ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในปี 2565 ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2564-2566) บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเติบโตขั้นต่ำ (CAGR) 20-30% ต่อปี และบริษัทยังมีความสนใจแง่เงินปันผล ซึ่งคาดว่าจะได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2564 ราว 6% ทั้งนี้ยังคงประเมินกำไรสุทธิในปี 2564 เบื้องต้นไว้ที่ 400 ล้านบาท และอิง PER 17.0-19.0 เท่า จะได้กรอบราคาเป้าหมายที่ 7.15-8.00 บาท

โดยปัจจุบัน บริษัทมีไลน์การผลิตข้าวโพดแปรรูปจำนวน 5 ไลน์การผลิต คิดเป็นกำลังการผลิตรวมที่ 150,000 ตัน โดยในปี 2563 บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 81.37% โดยบางไลน์ได้ใช้ผลิตเต็มกำลังการผลิตแล้ว จึงคาดว่าบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตในปี 2564-2565 เพิ่มขึ้นอีก 20% และ 15% ตามลำดับ เพื่อรองรับตลอดข้าวโพดแปรรูปในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอเมริกาและยุโรป

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงคาดว่ารายได้ปี 2564 จะเติบโตราว 35-40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ได้รับการหนุนจากส่วนของดีมานด์ที่ยังเข้ามาต่อเนื่อง แม้ว่าคำสั่งซื้อมีการเลื่อนออกไปบางส่วนจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ แต่ผลกระทบจำกัด

นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้ปี 2563 จากต่างประเทศเป็น 91% และในประเทศคิดเป็น 9% อีกทั้งมีการพัฒนาสินค้าแบรนด์ของบริษัทเพิ่มขึ้น และบริษัทพัฒนาและปรับรูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน (อัตรากำไรขั้นต้นปี 2563 อยู่ที่ 26.8%)

Back to top button