IRPC วิ่งแรง 3% รับข่าวรุกเจรจาธุรกิจผลิตถุงมือยาง โบรกฯ แนะซื้อเป้าใหม่ 4.30 บ.

IRPC วิ่งแรง 3% มาที่ 4.02 บ. ด้วยมูลค่าซื้อขาย 567.56 ลบ. รับข่าวรุกเจรจาธุรกิจผลิตถุงมือยาง โบรกฯ แนะ “ซื้อเก็งกำไร” อัพเป้าใหม่ 4.30 บ. เพิ่มปรับประมาณการกำไรปี 64 เพิ่ม หลังมองครึ่งปีหลังยังสดใส  หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ล่าสุด ณ เวลา 11.57 น. อยู่ที่ 4.02 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.08% สูงสุดที่ 4.02 บาท ต่ำสุดที่ 3.92 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 567.56 ล้านบาท

โดย นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าร่วมลงทุน การเข้าควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) หลายโครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและโครงการใหม่ สำหรับดีล M&A หนึ่งในโครงการที่อยู่ในระหว่างการเจรจา คือการผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ ที่จะเป็นการต่อยอดจากโครงการผลิตหน้ากากอนามัยที่ร่วมมือกับกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

โดยในปี 2564 คาดว่าจะมีข้อสรุปในส่วนของการร่วมลงทุนโครงการถุงมือยางสังเคราะห์อย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดว่าจะต้องใช้งบลงทุนเท่าไร ขนาดกำลังการผลิตเท่าไรนั้น คงต้องรอความชัดเจนก่อน ซึ่งนับว่าเป็นการตอบรับเมกะเทรนด์ด้านธุรกิจสุขภาพที่ทั่วโลกกำลังเติบโต อย่างไรก็ตามหากประสบความสำเร็จโครงการดังกล่าว ก็ต้องกลับมาดูถึงการต่อยอดธุรกิจ การมองโอกาสในการป้อนวัตถุดิบให้โครงการดังกล่าว เป็นต้น

ขณะที่ ดีล M&A ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 โครงการนั้น ขนาดกำลังการผลิตไม่ใหญ่มาก มีทั้งโครงการที่อยู่ในไทยและต่างประเทศ โดยเน้นการต่อยอดธุรกิจของบริษัท การต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น

สำหรับงบลงทุน 5 ปี (ปี 2564-2568) ตามแผนเดิม บริษัทเตรียมไว้ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐาน EURO V (Ultra Clean Fuel Project : UCF) เพิ่มกำลังการกลั่นอีก 75,000 บาร์เรลต่อวัน มูลค่า 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2567 แต่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการปรับงบลงทุนใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ของกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ดังนั้นงบลงทุนก็มีโอกาสมากกว่าแผนเดิม โดยคาดว่าจะกำหนดแผนธุรกิจในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้

ทั้งนี้ แผนลงทุน 5 ปีข้างหน้า บริษัทต้องการให้กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ไม่ผันผวนตามกำไร/ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน รวมทั้งตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 25% ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2573 เทียบกับปี 2564 ที่บริษัทยังมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจใหม่ไม่มากนัก

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทมองว่าในช่วงครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานค่อนข้างดี โดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยังท้าทาย อาจทำให้รายได้มีโอกาสลดลงกว่าช่วงครึ่งปีแรกบ้าง ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกปริมาณการกลั่นของ IRPC เฉลี่ยอยู่ที่ 1.90 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 1.90-1.95 แสนบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ราคาวัตถุดิบยังอ่อนตัว เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก แต่ระดับมาร์จิ้นยังทรงตัวในระดับที่ดี

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดว่ากลุ่มโรงกลั่นจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากการฉีดวัคซีนมากขึ้น และ COVID-19 คลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมการเดินทางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับอากาศที่หนาวเย็นขึ้นจะช่วยให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มปิโตรฯ คาดว่ากลุ่มโอเลฟินส์อาจได้รับผลจากอุปทานใหม่ในเอเชียที่จะทยอยเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2564 ประมาณ 3 ล้านตัน และการกลับมาผลิตของ Rapid ในไตรมาส 4/2564 ทําให้ส่วนต่างราคาขายอ่อนลงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม แม้ครึ่งปีหลังคาดการณ์ผลดำเนินงานอาจไม่ดีเท่าในครึ่งปีแรก จากแรงกดดันของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมีที่จะอ่อนลง แต่คาดว่าจะได้ส่วนช่วยจากส่วนต่างราคาปิโตรเลียมมาชดเชยได้บางส่วน อีกทั้งการดำเนินงานที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2564 ขึ้นจากเดิม โดยปรับกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 16,107 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 6,152 ล้านบาท ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” สำหรับ IRPC พร้อมปรับราคาพื้นฐานเป็น 4.30 บาท โดยการดำเนินงานครึ่งปีแรกประกาศจ่ายเงินปันผล 0.08 บาทต่อหุ้น ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 2%

Back to top button